6 หนังปล่อยของสุดพลังของหนุ่มน้อย Ezra Miller ดาวเด่นดวงใหม่แห่งวงการฮอลลีวู้ด
Ezra Miller หนุ่มน้อยที่มีหน้าตาอันเป็นเอกลักษณ์คนนี้ถือได้ว่ามีอนาคตไกลที่ไม่ธรรมดา เขาเกิดวันที่ 30 กันยายน 1992 ที่รัฐนิวเจอร์ซีย์ของอเมริกา Ezra ออกจากโรงเรียนตอนอายุ 16 ปี เพราะเชื่อว่าโรงเรียนไม่เหมาะกับเขา
ผลงานเรื่องแรกของเขาคือหนังเรื่อง Afterschool (2008) และฉายแววทางการแสดงตั้งแต่เล็กจนมาได้รับรางวัลจาก Another Happy Day (2011) โดยเป็นรางวัลนักแสดงที่พัฒนาการแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม และมาปังในที่สุดและแจ้งเกิดแบบเต็มๆ กับบทเด็กจิตมีปัญหาใน We Need to Talk About Kevin (2011) ซึ่งกว่าเขาจะได้รับทนี้ เขาต้องใช้เวลานานถึง 2 ปี กว่าจะผ่านการออดิชั่น 6 ครั้ง เมื่อแคสติ้งได้แล้ว ในช่วงก่อนถ่ายทำ เขายอมไม่พูดกับแม่ของตัวเองเป็นเดือนๆ และยังต้องลดน้ำหนักลงไปกว่า 10 กิโลฯ เพื่อให้เข้าถึงตัวละครของเควินดูเป็นเด็กที่มีปัญหาจริงๆ และจากฝีมือการแสดงที่ยอดเยี่ยมเขาก็ไดถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BIFA Award for Best Supporting Actor ในปี 2011 และปังอย่างต่อเรื่องกับบทเกย์หนุ่ม "แพทริก" ใน The Perks of Being a Wallflower (2012) จนทำให้ผู้ชมชายหญิงหลงรักไปตามๆ กัน และนั่นก็สร้างชื่อให้เขาเป็นนักแสดงดาวรุ่งอายุน้อยที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดคนหนึ่งของวงการ และคว้ารางวัลจากเวทีต่างๆ อีกหลายรางวัล
เขาเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ Harry Potter โดยเริ่มอ่านตั้งแต่อายุ 7 ขวบ และฟัง Audiobooks มากกว่า 100 รอบ และความฝันของเขาเป็นจริงในที่สุดเมือเขาได้รับเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลหนัง Harry Potter อย่าง Fantastic Beasts and Where To Find Them อีกด้วย
และล่าสุดกับบทบาท Barry Allen หรือ The Flash ใน Justice League ภาพยนตร์รวมฮีโร่ของฝั่ง DC Comics ที่กำลังจะเข้าฉายในบ้านเรา หลังจาก บรูซ เวย์น กลับมาศรัทธาในตัวมนุษยชาติ และได้แรงบันดาลใจจากการเสียสละของซูเปอร์แมน เขาจึงขอความช่วยเหลือจากพันธมิตรคนใหม่อย่าง ไดอาน่า ปรินซ์ ในการเผชิญหน้ากับศัตรูที่อันตรายยิ่งกว่า โดยพวกเขาต้องเร่งมือควานหา เมต้าฮิวแมน มาร่วมกันต่อกรกับภัยคุกคามครั้งใหม่นี้ ซึ่งถึงแม้เหล่าฮีโร่อย่าง แบทแมน, วันเดอร์วูแมน, อควาแมน, ไซบอร์ก และเดอะแฟลช จะรวมตัวกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 16 พฤศจิกายน 2017 นี้ ในโรงภาพยนตร์ และวันนี้จะมาขอแนะนำหนัง 5 เรื่องของหนุ่มน้อย Ezra Miller ที่ได้ปล่อยของไว้สุดพลังในทุก ๆ เรื่องตั้งแต่เด็กกันไว้ให้มาหาติดตามดูกัน แฟนๆ ของหนุ่ม Ezra ห้ามพลาด
1. Afterschool (2008)
Afterschool เป็นหนังยาวเรื่องแรกของ อันโตนิโอ แคมโปส เขาเป็นชาวนิวยอร์คโดยกำเนิด บ้าดูหนังมาตั้งแต่เด็ก เรียนจบทางด้านภาพยนตร์จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ค และมีผลงานหนังสั้นที่กวาดคำชมมามากมาย แคมโปสทำ Afterschool ตอนอายุเพียง 25 ปีเท่านั้น โดยหนังได้เข้าประกวดในสาย Un Certain Regard ที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ปี 2008
เนื้อหาของหนังเรื่องนี้ว่าด้วย โรเบิร์ต เด็กวัยมัธยมปลายที่พ่อแม่ส่งมาอยู่โรงเรียนประจำ ตามสไตล์ของหนังประเภทนี้ที่พระเอกจะต้องเป็นเด็กแปลกแยกไม่ค่อยมีเพื่อน แต่โรเบิร์ตมีสิ่งที่ต่างออกไปคือเขาชอบดูคลิปแรงๆ ตามอินเตอร์เน็ต ในวันหนึ่งขณะที่โรเบิร์ตกำลังถ่ายวิดีโอเล่นในโรงเรียน เขาก็บันทึกภาพนักเรียนสาวสองคนที่ตายจากการเสพยาเกินขนาดได้โดยบังเอิญ
2. Another Happy Day (2011)
Another Happy Day (2011) รวมญาติวันวิวาห์ว้าวุ่น สุดยุ่งเหยิงในงานแต่งของ ลินน์ ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายไม่ว่าจะจาก ครอบครัว เครือญาติ ที่ต่างมีปัญหามากมายเข้ามารุมเร้า เธอจะสามารถผ่านพ้นเหตุการณ์เหล่านี้ไปได้ด้วยดีหรือไม่ ต้องมาติดตามกัน!!!
3. We Need to Talk About Kevin (2011)
ภาพยนตร์แนวทริลเลอร์สะเทือนอารมณ์ ที่กำกับโดยผู้กำกับชื่อดัง ลินน์ แรมเซย์ และนำแสดงโดย ทิลดา สวินตัน ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากนวนิยายที่คว้ารางวัล ออเรนจ์ ไพรซ์ และยังเป็นหนังสือนวนิยายขายดีอันดับหนึ่งของ ไลโอแนล ไชรเวอร์ ในปี 2003 อีกด้วย นอกจากนี้ยังได้รับเลือกเข้าประกวดในเทศกาล Festival De CANNES และคว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจาก BAFTA Award
ภาพยนตร์เรื่องนี้บอกเล่า เรื่องราวของ อีวา แม่ผู้ยอมสละละทิ้งความเจริญก้าวหน้าทางการงานเพื่อให้กำเนิดลูกชาย เควิน และเมื่อ Kevin เควินอายุได้ 15 ปี ความสัมพันธ์ระหว่าง อีวา และ เควิน ร้าวฉานขึ้นเป็นทวีคูณ เมื่อ เควิน ทำในสิ่งที่ไม่อาจให้อภัยได้ในสายตาของคนทั้งชุมชน อีวา พยายามทำใจและสืบหาสาเหตุว่าทำไมลูกชายของเธอถึงได้กลายเป็นฆาตกรเลือดเย็นที่สังหารหมู่ผู้คนจำนวนมาก โดยเธอได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่าลูกของเธออาจโรคจิตโดยสันดาน หรืออาจเป็นเพราะความผิดพลาดในการเลี้ยงดูของเธอเอง อีวา ต้องรับมือกับความรู้สึกโศกเศร้าและความรู้สึกว่าตัวเองต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ Kevin สร้างขึ้นทั้งหมด และเธอเองต้องค้นหาคำตอบให้กับตัวเองว่าแท้ที่จริงแล้ว เธอเคยรักลูกชายตัวเองรึเปล่า
4. The Perks of Being a Wallflower (2012)
ขอต้อนรับสู่ปี ค.ศ. 1991 ชาร์ลี (โลแกน เลอร์แมน) เป็นเด็กหนุ่มขี้อายและไร้เดียงสา เขาเปรียบเสมือนดอกวอลล์ฟลาวเวอร์ มักที่จะเฝ้ามองและสังเกตผู้คนโดยที่ไม่มีใครรู้ตัว จนกระทั่งรุ่นพี่สองคนได้รับเขาเข้ามาเป็นพวกเดียวกัน นั่นก็คือสาวจิตใจอิสระ แซม (เอ็มม่า วัตสัน) และลูกพี่ลูกน้องที่เปิดเผยทุกอย่าง แพทริก (เอสร่า มิลเลอร์) ที่ช่วยให้ ชาร์ลี ได้พบกับมิตรภาพ รักครั้งแรก การค้นพบตัวเอง และภารกิจในการตามหาเพลงที่หล่อหลอมชีวิต ในขณะเดียวกัน คุณครูภาษาอังกฤษของเขา มิสเตอร์แอนเดอร์สัน (พอล รัดด์) ก็ได้แนะนำให้เขารู้จักกับความงามของวรรณกรรม ซึ่งทำให้เขาอยากที่จะเป็นนักเขียน
แต่เมื่อ ชาร์ลี มุ่งหน้าเข้าสู่โลกของการเติบใหญ่ ความเจ็บปวดในอดีตก็ถูกขุดขึ้นมา เมื่อ ไมเคิล เพื่อนสนิทของเขาฆ่าตัวตาย และการจากไปอย่างกะทันหันของป้าอันเป็นที่รักของเขา รวมถึงเพื่อนเก่าของเขาที่วางแผนจะไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ทั้งหมดนี้ทำให้โลกของ ชาร์ลี เริ่มสั่นคลอน และทำให้รากฐานแห่งตัวตนของเขาก็จะเปิดเผยสิ่งที่อยู่ในใจของเขาทั้งหมด
The Perks of Being a Wallflower กำกับและเขียนบทโดย สตีเฟ่น ชาบอสกี้ ดัดแปลงจากวรรณกรรมเยาวชนของตัวเอง อำนวยการสร้างโดย รัสเซล สมิธ (Juno, Jeff Who Lives at Home, Young Adult) โดยมีทีมงานคุณภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้ควบคุมเพลง ไมเคิล บรูค (The Vow, The Fighter), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เดวิด โรบินสัน (Young Adult, Shame), ผู้ตัดต่อภาพ แมรี่ โจ มาร์คีย์ (Star Trek, Super 8), ผู้ออกแบบงานสร้าง อินเบล ไวน์เบิร์ค (Our Idiot Brother, Blue Valentine) และผู้กำกับภาพ แอนดรูว ดันน์ (Crazy Stupid Love, Life as We Know It)
5. The Stanford Prison Experiment (2015)
ภาพยนตร์ The Stanford Prison Experiment สร้างจากเรื่องจริงของ การทดลองทางจิตวิทยาของ ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา ฟิลลิป ซิมบาร์โด เมื่อปี 1971 โดยนำนักศึกษาจำนวน 24 คน จาก 75 คน มาคัดเลือกแบบสุ่มให้รับบทบาทสมมติ ระหว่างนักโทษและผู้คุมเรือนจำ และใช่ชีวิตในคุกจำลองชั้นใต้ดินของอาคารจิตวิทยาของสแตนฟอร์ด โดยผู้เข้าร่วมต้องปรับตัวตามบทที่รับ ฝ่ายผู้คุมสามารถใช้มาตรการบังคับนักโทษได้ ฝ่ายนักโทษเอง ก็ต้องอดทนรับต่อชะตากรรมเหล่านั้น เป็นเวลา 2 สัปดาห์
แต่ทว่าผลลัพธ์ที่ต้องการศึกษาแง่มุมจิตวิทยา กลับให้ผลลัพธ์เกินคาดคิด เมื่อเหล่าผู้คุมสมมติ ดำดิ่งเข้าถึงบทบาทมากเกินไป ใช้อำนาจและความรุนแรงเกินกว่าเหตุ ทำร้ายนักโทษสมมติอย่างเอาเป็นเอาตาย จนเหตุการณ์บานปลายเกินควบคุม ทำให้ ดร.ฟิลลิป ซิมบาร์โด และทีมงาน ต้องยุติการทดลองนี้โดยทันที หลังเวลาผ่านไปเพียงแค่ 6 วันเท่านั้น
6. Fantastic Beasts and Where to Find Them (2016)
เป็นการพูดถึงโลกเวทมนต์ ช่วงปี 1920 ในฝั่งของอเมริกา ก่อนการถือกำเนิดของแฮร์รี่ พอตเตอร์ 70 ปี ว่าด้วยเรื่องราวของ นิวตัน อาร์ทีมีส ไฟโด สคาแมนเดอร์ หรือ นิวท์ สคามันเดอร์ นักสัตว์วิเศษวิทยาแห่งโลกเวทมนตร์ของอังกฤษได้รับมอบหมายให้เดินทางไปยังนิวยอร์ค เพื่อทำบันทึกเกี่ยวกับสัตว์วิเศษต่างๆ และเขียนเป็นหนังสือ "สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่" ซึ่งใช้เป็นหนังสือเรียนในยุคของแฮร์รี่ในเวลาต่อไป
โดยสำหรับการเริ่มต้นของภาพยนตร์เรื่องนี้ แม้ นิวท์ สคามันเดอร์ จะสำเร็จการศึกษาจบจากโรงเรียนเวทมนต์ไปแล้ว แต่เราก็จะได้เห็นเขากลับมายังฮอกวอตส์อีกครั้ง ในการปรึกษาและถกเถียงกับ ฟินิแอส ไนเจลลัส แบล็ก (Phineas Nigellus Black) ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่ในเวลานั้น เนื่องจากการมีความคิดเห็นไม่ตรงกันในเรื่องของการอุทิศตัว เพื่อค้นคว้าและทำความเข้าใจสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่นของนิวท์
ทั้งนี้ การดำเนินการค้นคว้าและทำการศึกษาสัตววิเศษของนิวท์ก็ยังคงดำเนินต่อไป บนฉากหลังของสภาเวทมนตร์แห่งสหรัฐอเมริกา (Magical Congress of the United States of America -MACUSA) แต่แล้วความวุ่นวายที่สุ่มเสี่ยงต่อการเปิดเผยชุมชนผู้วิเศษต่อโลกของมักเกิ้ลก็เกิดขึ้น เมื่อสัตว์วิเศษบางตัวได้หลุดออกสู่โลกภายนอก นิวท์จึงต้องการทางจัดการ ก่อนที่พวกมันจะถูกคุกคามจากสิ่งมีชีวิตที่ร้ายกาจยิ่งกว่า นั่นก็คือ มนุษย์ นั่นเอง