30 เรื่องคุณไม่เคยรู้เกี่ยวกับแฟรนไชส์หนัง Halloween
Halloween แฟรนไชส์หนังที่มีอายุยาวนานถึง 40 ปี อีกหนึ่งหนังเชือดอมตะ ที่มีไมเคิล ไมเยอร์ส ฆาตกรสวมหน้ากากจอมโหดเป็นศูนย์กลางของเรื่องเช่นเดียวกับ เจสัน วอร์ฮี และ เฟรดดี้ ครูเกอร์ , Halloween เคยถูกรีบู๊ตมาแล้วรอบหนึ่งเมื่อปี 2007 แต่ก็ไม่ถูกพูดถึงนัก ผิดกับรอบนี้ที่ทีมผู้สร้างเลือกที่จะเล่าเรื่องราวภาคต่อโดยตรงกับหนังภาคแรกที่ออกมาในปี 1978 และเป็นการกลับมาครั้งยิ่งใหญ่ เพราะประสบความสำเร็จทั้งเสียงตอบรับที่ดีทั้งจากนักวิจารณ์ และรายได้ที่ถล่มทลาย สร้างสถิติมากมายตั้งแต่วันเปิดตัว เป็นการต่ออายุให้กับแฟรนไชส์ Halloween ให้กลับมาเป็นที่สนใจบวกกับการกลับมาของเจมี่ ลี เคอร์ติส ที่กลับมาในมาดเท่แม้จะเข้าวัย 60 ปีแล้ว ในวาระที่ Halloween กลับมาประสบความ สำเร็จอีกครั้ง ผู้เขียนเลยถือโอกาสหยิบเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ น่าสนใจเกี่ยวกับแฟรนไชส์นี้มาฝากกันครับ
1. เรื่องราวทุกภาคจะเกิดในคืนฮาโลวีนตามชื่อเรื่อง แล้วหนังก็จบเหตุการณ์ภายในคืนนั้น มีเพียง Halloween II (1981) เท่านั้นที่ให้คนดูได้เห็นเหตุการณ์ในเช้าวันรุ่งขึ้น
2. เจมี่ ลี เคอร์ติส เป็นดาราสาวที่ได้แจ้งเกิดจากบท ลอรี่ สโตรด บทนำใน Halloween จอห์น คาร์เพนเตอร์ เลือกเจมี่ มารับบทนำเป็นฮีโร่ของหนังเพราะต้องการอุทิศให้กับหนัง Psyco ของปรมาจารย์ อัลเฟรด ฮิตช์ค็อก ที่มี เจเน็ต ลีห์ ในฉากฆาตกรรมในอ่างอาบน้ำที่กลายเป็นฉากอมตะในโลกภาพยนตร์ และที่สำคัญ เจมี่ ลี เคอร์ติส คือลูกสาวของ เจเน็ต ลีห์ นั่นเอง
3. เดิมทีหนังถูกตั้งชื่อว่า "The Babysitter Murders" ตามคำแนะนำของผู้อำนวยการสร้าบริหาร เออร์วิน ยับลาน แต่ภายหลังเรื่องราวของหนังถูกปรับเปลี่ยนให้เกิดขึ้นในเทศกาลฮาโลวีน ส่งผลให้หนังถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "Halloween"ในท้ายที่สุด
4. หลังจากที่ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Halloween(1978)ตามเหตุการณ์ในเรื่อง ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะหนังต้องออกฉายให้ทันเทศกาลฮาโลวีน ตามชื่อหนัง นั่นคือทีมงานมีเวลาเตรียมการเพียง 4 สัปดาห์ และถ่ายทำให้เสร็จสิ้นภายใน 4 สัปดาห์ และเหลือเวลาเพียง 4 สัปดาห์ในขั้นตอนตัดต่อ สรุปว่า Halloween(1978)เสร็จสิ้นทุกกระบวนการภายในเวลาเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น
5. หนังถ่ายทำกันในฤดูใบไม้ผลิ แต่เรื่องราวของหนังดันเกี่ยวกับเทศกาลฮาโลวีน เลยเป็นปัญหายากสำหรับทีมงานที่จะต้องหาฟักทองจำนวนมากมาประกอบฉาก
6. ชื่อ "ลอรี่ สโตรด" บทนำของเจมี่ ลี เคอร์ติส นั้นถูกตั้งชื่อตามแฟนคนแรกของ จอห์น คาร์เพนเตอร์ ผู้กำกับและผู้ให้กำเนิดแฟรนไชส์ Halloween
7. ส่วนชื่อ "ไมเคิล ไมเยอร์ส"นั้นตั้งตามชื่อของผู้จัดจำหน่ายหนังนอกประเทศของจอห์น คาร์เพนเตอร์ เขาขายหนัง "Assault on Precinct 13" เรื่องก่อนหน้านี้ให้จอห์น ได้ประสบความสำเร็จดีมาก จอห์น เลยเอาชื่อของเขามาตั้งเป็นชื่อฆาตกรโหดใน Halloween เพื่อแทนการขอบคุณ
8. จอห์น คาร์เพนเตอร์ บอกว่าเขาตั้งใจให้ภาพลักษณ์และความรู้สึกของหนัง Halloween นั้นอิงตามหนัง Chinatown ของมหาผู้กำกับ โรมัน โปลันสกี
9. Halloween (1978) ใช้ต้นทุนในการสร้างเพียง 300,000 เหรียญ แต่ทำรายได้ไปถึง 47 ล้าน กลายเป็นหนังสยองขวัญที่ทำกำไรสูงสุดในประวัติศาสตร์ หนังครองสถิติอยู่นานถึง 21 ปี ก่อนจะถูก The Blair Witch Project ทำลายสถิติในปี 1999
10. ผู้กำกับ จอห์น คาร์เพนเตอร์ ได้รับค่าแรงในการกำกับ Halloween(1978) เพียง 10,000 เหรียญเท่านั้น ส่วน นิค คาสเซิล ผู้รับบท ไมเคิล ไมเยอร์ส ได้ค่าแรงวันละ 25 เหรียญ
11. ถ้าใครเคยดูหนัง Halloween(1978) จะรู้สึกได้ว่าหนังมืดๆ แท้จริงแล้วทีมงานไม่ได้ตั้งใจให้หนังออกมาสลัว ๆ เพื่อสร้างบรรยากาศน่ากลัวหรอกนะ แต่หนังไม่มีงบพอที่จะจัดแสงให้สว่างได้กว่านี้
12. และด้วยทุนสร้างที่จำกัด ทีมงานทางด้านเสียงเลยสร้างสรรค์เสียง มีดกระซวกเนื้อด้วยการใช้มีดแทงลูกแตงโม
13. จอห์น คาร์เพนเตอร์ ผู้กำกับภาคแรกของหนัง ยังรับหน้าที่ประพันธ์ดนตรีประกอบหนังอีกด้วย ทั้งๆ ที่เขาไม่มีความรู้เรื่องตัวโน้ตเลย
14. และด้วยทุนสร้างที่จำกัดอีกเช่นกัน ทำให้ทีมงานไม่สามารถออกแบบสร้างหน้ากากไมเคิล ไมเยอร์ส กันเองได้ ทีมงานก็เลยหาทางออกด้วยการไปซื้อหน้ากาก กัปตันเคิร์ก จากหนัง Startrek มา แล้วแกะเอาผมและคิ้วออก สุดท้ายก็เอาสเปรย์สีขาวพ่น เป็นอันสำเร็จ
15. เมื่อถ่ายทำ Halloween II ทีมงานยังคงใช้หน้ากากเดิมจากภาคแรก เมื่อหนังออกฉายก็มีแฟนหนังตาดี ทักท้วงมาว่าหน้ากากไมเคิล ไม่เยอร์ส "ดูไม่เหมือนเดิมนะ" ซึ่งทีมงานก็ยอมรับในข้อผิดพลาดนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า หน้ากากเสื่อมสภาพไปมาก เหตุจากตอนที่ถ่ายทำในภาคแรกนั้น นิค คาสเซิล ผู้สวมบทไมเคิล ไมเยอร์ส ในภาคแรกเป็นเก็บรักษาหน้ากากในช่วงถ่ายทำ เขายัดมันลงในกระเป๋าเป้แล้วก็แบกกลับบ้านหลังการถ่ายทำในแต่ละวัน แล้วในช่วงเว้นระยะจากภาคแรก มาถึงภาค 2 เป็นเวลา 3 ปีนั้น เดบรา ฮิลล์ ผู้อำนวยการสร้างนั้นเธอก็เอาหน้ากากไมเคิล ไมเยอร์สไปเก็บไว้ใต้เตียง พอหยิบกลับมาถ่ายทำในภาค 2 หน้ากากก็เลยเต็มไปด้วยฝุ่นและเศษขี้บุหรี่ อันนี้น่าสงสัยนะ ตอนสร้างภาค 2 ทำไมไม่แบ่งทุนสร้างมาทำหน้ากากใหม่นะ
16.จอห์น คาร์เพนเตอร์ ผู้กำกับและ เดบรา ฮิลล์ ผู้อำนวยการสร้าง คบหากันในช่วงที่หนังถ่ายทำ 2 ภาคแรก
17.จอห์น คาร์เพนเตอร์ และ เดบรา ฮิลล์ แบ่งหน้าที่เขียนบทกัน จอห์น เขียนบทตัวละครฝ่ายชาย ส่วนเดบรา เขียนบทตัวละครฝ่ายหญิง นั่นเป็นเหตุผลให้สำนวนในบทสนทนาดูมีความสมจริง
18. ใน Halloween (1978) จอห์น คาร์เพนเตอร์ รับหน้าที่เป็นทั้งผู้กำกับ , ผู้เขียนบท และผู้ประพันธ์ดนตรีประกอบ แล้วยังมาแอบให้เสียงประกอบด้วย ในฉากที่แอนนี่เหยื่อรายหนึ่งของไมเคิล ไมเยอร์ส โทรหาแฟนหนุ่มของเธอ จอห์น คาร์เพนเตอร์ ก็คือผู้ให้เสียงประกอบในบทแฟนหนุ่มคนนั้น
19. เดบรา ฮิลล์ ก็แอบโผล่มาในหนัง Halloween(1978)เช่นกัน ด้วยเหตุจากหนังถ่ายทำกันแบบฉุกละหุก ทีมงานหานักแสดงเด็กมารับบทเป็น ไมเคิล ไมเยอร์สตอนเด็กได้ไม่ทัน กว่าจะหามาได้ก็วันสุดท้ายของการถ่ายทำแล้ว ฉะนั้นในฉากที่จะถ่ายทำได้ไปก่อนหน้า ก็คือฉากที่เห็นเฉพาะมือเด็ก ก็เลยใช้มือของเดบรา ฮิลล์เข้ากล้องแทนมือเด็กไปก่อน ถ้าสังเกตให้ดีมือของเด็กจะทำเล็บมาสวยงามเรียบร้อยมาก
20. จากที่เคยเอ่ยถึงไปในข้อแรกๆ ว่า เจมี่ ลี เคอร์ติส นั้นเป็นลูกสาวของเจเน็ต ลีห์ นักแสดงหญิงจาก Psyco (1960) ซึ่งเธอก็แอบมาโผล่เป็นนักแสดงรับเชิญด้วยใน Halloween H20: 20 Years Later (1998) เป็นภาคที่ดำเนินเหตุการณ์ใน 20 ปีต่อมาจากภาคแรก และได้เจมี่ ลี เคอร์ติส กลับมารับบท ลอรี่ สโตรด ส่วน เจเน็ต ลีห์ แม่ของเธอก็มารับบทเป็น เลขาส่วนตัวของลอรี่ นั่นเอง
21. ระดับของความน่ากลัว ถูกนำมาใช้ใน Halloween (1978) โดยผู้กำกับจอห์น คาร์เพนเตอร์ เพื่อสื่อสารให้ตรงกันกับเจมี่ ลี เคอร์ติส ผู้รับบทนำของเรื่อง โดยก่อนถ่ายทำแต่ละฉาก จอห์น จะตกลงกับเจมี่ ว่า ฉากนี้จะมีความน่ากลัวในระดับ 3หรือ 4 หรือ 5 หรือ 6 แล้วแต่ตกลงกันในฉากนั้น ๆ เพื่อเจมี่ จะได้แสดงออกให้ตรงกับความต้องการของจอห์น
22. ใน Halloween (1978) บ้านของตระกูลไมเยอร์สในหนังนั้น เป็นทรัพย์สินของทางโบสถ์ และปัจจุบันบ้านหลังนี้ก็ถูกใช้เป็นคลินิกเป็นรักษาผู้ป่วย
23. มีคู่สามีภรรยาในนอร์ธแคโรไลนา รักหนัง Halloween(1978)มาก ถึงกับสร้างบ้านตามแบบบ้านของตระกูลไมเยอร์สขึ้นในปี 2015 บ้านหลังนี้ถูกสร้างขึ้นในพื้นที่ฟาร์มขนาด 5 เอเคอร์ส สภาพภายนอกสร้างตามบ้านในหนังทุกกระเบียดนิ้ว แต่ภายในเน้นหรูสะดวกสบายด้วยห้องนอนขนาดใหญ่ ห้องน้ำขนาดใหญ่พิเศษ คู่สามีภรรยาเปิดบ้านไมเยอร์ส ให้แฟน ๆ หนังมาเที่ยวชมปีละครั้ง
24. การคำนวณอายุที่น่าสับสน เหตุการณ์ฆาตกรรมครั้งแรกของไมเคิล ไมเยอร์ส เกิดขึ้นในปี 1963 ซึ่งตอนนั้นเขาอายุเพียง 6 ขวบ แล้วเหตุการณ์ก็มาดำเนินอีกครั้งในปี 1978 ซึ่งเท่ากับ 15 ปีต่อมา ไมเคิล จะต้องอายุ 21 ปี แต่ตอนจบของหนังกลับมีการระบุอายุของไมเคิล ไมเยอร์สว่า "23 ปี" คำนวณกันยังไงหว่า
25. นักแสดงหลายๆ คนเมื่อได้รับบทดังๆ ในฮอลลีวู้ด มักจะถูกจดจำภาพในบทนั้น แล้วมักจะไม่ประสบความสำเร็จในบทบาทอื่น แต่เรื่องนี้ไม่เป็นผลกับนิค คาสเซิล ผู้รับบทไมเคิล ไมเยอร์ส ใน Halloween(1978) เขากลายเป็นผู้กำกับที่ ประสบความสำเร็จคนหนึ่งในฮอลลีวู้ด มีผลงานที่รู้จักกันเช่น Mr. Wrong (1996) , Major Payne 1995 , Dennis the Menace (1993)
26. ปี 2006 หอสมุดรัฐสภาได้คัดเลือก Halloween(1978)เข้าในรายชื่อ "หนึ่งในภาพยนตร์ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์" เหตุเพราะสะท้อนถึง วัฒนธรรมอเมริกัน ประวัติศาสตร์อเมริกัน และมีความโดดเด่นทางด้านสุนทรียศาสตร์
27. พระเอก Ant-man อย่าง พอล รัดด์ ก็เคยผ่านการร่วมงานในแฟรนไชส์ฮาโลวีนมาแล้ว เขาได้รับบทนำใน Halloween: The Curse Of Michael Myers (1995) ซึ่งในวันนั้นใช้ชื่อว่า "พอล สตีเฟนรัดด์"
28. ร็อบ ซอมบี้ อดีตนักร้องเมตัลที่หันมาเป็นผู้กำกับในฮอลลีวู้ด ร็อบ หยิบ Halloween(1978)มารีเมคในปี 2007 แล้วให้คำจำกัดความเวอร์ชั่นของเขาว่า "reimagining" หรือ "จินตนาการใหม่" เป็นภาคที่ รีเมค และ ภาคก่อนหน้า ในภาคเดียวกัน ด้วยการเพิ่มเนื้อหาและฉากใหม่ๆ เข้าไป ร็อบ สานภาคต่อ Halloween II ในปี 2009 แต่ภาคนี้ เดินเรืองในทิศทางใหม่ไม่ได้ยึดตาม Halloween II (1981) ซะแล้ว
29. บทไมเคิล ไมเยอร์ส ฆาตกรโหดประจำแฟรนไชส์ฮาโลวีนนี่มีนักแสดงหลายคนที่เวียนกันมารับบท นิค คาสเซิล ที่รับบทไมเคิล ไมเยอร์ส ใน Halloween (1978) นั้นสูงเพียง 177 ซม. แต่พอมาในภาครีเมคของร็อบ ซอมบี Halloween (2007) นั้น ได้ไทเลอร์ เมน มารับบท และเขาสูงถึง 205 ซม. นับว่าไมเคิล ไมเยอร์ส มีวิวัฒนาการความสูงแบบก้าวกระโดดมาก
30. เรื่องที่แฟนๆ แฟรนไชส์ฮาโลวีน สงสัยกันมากที่สุดและยังไม่เคยได้รับคำตอบคือแรงจูงใจในการเป็นฆาตกรโหดของไมเคิล ไมเยอร์ส คืออะไร คนที่ควรให้คำตอบได้ดีที่สุดคือ จอห์น คาร์เพนเตอร์ ผู้ให้กำเนิดแฟรนไชส์ ชุดนี้ จอห์น ได้ให้คำอธิบายไว้ว่า "มันมาจากพลังเหนือธรรมชาติ เป็นพลังมืด เป็นพลังแห่งความชั่วร้าย" ซึ่งคำอธิบายของ จอห์น คาร์เพนเตอร์ นี้ได้ถูกขยายอีกครั้งในคำบรรยายของ ดร.ลูมิส จิตแพทย์ที่ดูแล ไมเคิล ไมเยอร์ส ระหว่างอยู่ในสถานบำบัดทางจิต "ผมพบไมเคิล เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ตอนที่เขาเป็นเด็กชายอายุ 6 ขวบ ที่สติสัมปชัญญะว่างเปล่า ผิวขาวซีด ไม่มีการแสดงออกทางสีหน้า ไม่มีการรับรู้ ปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ ทั้งสิ้นแม้กระทั่งพื้นฐานความเป็นความตาย ดีหรือชั่ว ผิดหรือถูก และภายใต้ดวงตำสีดำสนิทคู่นั้น มันคือสายตาของความชั่วร้าย ผมใช้เวลากว่า 8 ปีที่จะพยายามเข้าถึงความคิดอ่านของเขา แล้วก็จบลงด้วยการที่ผมต้องขังเขาไว้อีก 7 ปีต่อมา เพราะผมล่วงรู้แล้วว่าภายใต้ดวงตาคู่นั้นมันคือความชั่วร้ายล้วน ๆ ที่ซุกซ่อนอยู่"
ฉากหลังของไมเคิล ไมเยอร์ส ยังถูกขยายเพิ่มเติมไว้ในนิยาย "Halloween" ที่เขียนโดย เคอร์ติส ริชาร์ด ในนิยายมีเนื้อหาตอนหนึ่งที่ ไมเคิล ไมเยอร์ส ได้เผยกับยายของเขาว่า เขาเคยได้ยินเสียงในหัวบอกให้เขารู้สึก "เกลียดผู้คน" และเคอร์ติส ริชาร์ด ยังเขียนเรื่องราวโยงไปถึงบรรพบุรุษของไมเคิล เพื่ออธิบายว่าความโหดร้ายอำมหิตของไมเคิลนั้นสืบทอดทางกรรมพันธุ์ เพราะปู่ทวดของไมเคิลเองก็เคยยิงผู้บริสุทธิ์ตายในคืนฮาโลวีนปี 1898 และ 1899 ก่อนที่เขาจะโดนแขวนคอ ปู่ทวดได้บอกว่าเขาเจาะจงเหยื่อแต่ละรายจากชื่อที่ได้เขาได้ยินในความฝัน
พบกับตำนานความสยองโหดของไมเคิล ไมเยอร์ส ในวันที่ 31 ตุลาคม นี้
ตัวอย่างภาพยนตร์