Pacific Rim Uprising จะแตกต่างจากหนังภาคแรก กับการมีฉากต่อสู้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในตอนกลางวัน!
ภาพยนตร์ที่มีหุ่นยนต์ยักษ์ต่อสู้กับอสูรกายยักษ์ ต้องการขนาดงานสร้างที่มีความยิ่งใหญ่มากเป็นพิเศษ แต่ก้าวแรกของทีมงานก็คือการประเมินก่อนว่า "Pacific Rim Uprising - แปซิฟิค ริม ปฏิวัติพลิกโลก" จะมีภาพที่แตกต่างไปจากภาพยนตร์ภาคแรกอย่างไร?
ผู้กำกับ สตีเว่น เอส เดอไนท์ และทีมผู้อำนวยการสร้าง เห็นพ้องต้องกันว่างานเอฟเฟ็กต์ใน Pacific Rim มีความน่าตื่นตาแล้ว แต่พวกเขาต้องการจะนำภาพยนตร์ภาคที่ 2 ให้เดินไปในทิศทางที่แตกต่างอย่างกล้าหาญ สเตฟาน เดอแชนต์ได้เข้ามารับหน้าที่โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ โดยเขากับเดอไนท์ และผู้กำกับภาพ แดน มินเดล ได้ช่วยกันวางแผนสร้างโลกทางภาพขึ้นมาทั้งหมด
เดอแชนต์เล่าว่า "ในการพูดคุยครั้งแรกๆ ของผมกับสตีเว่น เขาแสดงให้เห็นว่าเขาอยากให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความโดดเด่นด้วยตัวมันเอง ถึงแม้ว่าจะมีรากฐานมาจากภาพยนตร์ภาคแรกของ กิเยร์โม เดล โตโร แต่มันก็ต้องมีภาพที่เป็นแบบฉบับของตัวเอง และมีโทนของตนเอง"
เดอไนท์ยังอธิบายถึงความแตกต่างหลักที่เขาคิดเอาไว้ว่า "ในภาพยนตร์ภาคแรก การโจมตีส่วนใหญ่เกิดขึ้นในตอนกลางคืนท่ามกลางฝนตก และมันสร้างบรรยากาศแบบนั้น แต่สำหรับ Pacific Rim Uprising เราอยากให้การต่อสู้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในตอนกลางวัน คุณจะได้ความรู้สึกที่แตกต่าง คุณมองเห็นทั้งเมือง และคุณก็มองเห็นสัตว์ประหลาดไคจูชัดเจน ทำให้มันมีความยากขึ้นเพราะเราไม่สามารถปิดซ่อนอะไรเอาไว้ได้ท่ามกลางแสงอาทิตย์ แต่ขณะเดียวกัน เราก็รู้สึกตื่นเต้นมากกับความเป็นไปได้ที่เกิดขึ้น"
ภาพยนตร์เรื่องนี้และงานออกแบบต้องสะท้อนโลกในอีก 10 ปีหลังจากภาพยนตร์ภาคแรก "ในภาพยนตร์ภาคแรก มวลมนุษย์กำลังเสียเปรียบคู่ต่อสู้" เดอแชนต์บอก "ในภาพยนตร์เรื่องนี้ มันเป็นสถานการณ์หลังสงคราม มีเงิน พีพีดีซีได้รวบรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน และพัฒนาเทคโนโลยี และเราก็อยากจะสำรวจว่าโลกจะหน้าตาเป็นอย่างไร เราอยากมีสภาพแวดล้อมในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน โทนก็แตกต่างกัน เรายังอยากจะเปิดฉากแช็ทเตอร์โดม และปล่อยให้แสงเข้ามา เราอยากเปลี่ยนโทนสี เพื่อเปิดให้เห็นความยิ่งใหญ่ของฉากต่อสู้กลางแจ้ง"
ยิ่งใหญ่กว่าเดิม อัพเกรดกว่าเดิม พลังแรงกว่าเดิม กับ "Pacific Rim Uprising - แปซิฟิค ริม ปฏิวัติพลิกโลก" 22 มีนาคมนี้ในโรงภาพยนตร์
ตัวอย่างภาพยนตร์