จุดเริ่มต้นสำคัญในการเขียนบทภาพยนตร์ Darkest Hour คือ ศิลปะการพูดของเชอร์ชิลล์
"คำพูดเปลี่ยนโลกได้ และเปลี่ยนจริงๆ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงตามนั้นผ่านทางวินสตัน เชอร์ชิลล์ในปี 1940" แอนโทนี แม็คคาร์เทน ผู้เขียนบทเจ้าของรางวัลบาฟตาและผู้อำนวยการสร้าง Darkest Hour กล่าวด้วยความทึ่ง "เขาตกอยู่ภายใต้ความตึงเครียดทางการเมืองและความกดดันส่วนตัว แต่ยังทะยานขึ้นมาได้สูงมากในเวลาไม่กี่วัน ครั้งแล้วครั้งเล่า"
แม็คคาร์เทนสนใจเรื่องราวชีวิตของรัฐบุรุษผู้เป็นตำนานผู้นี้มานานแล้ว และเช่นเดียวกับหลายคน เขาได้แรงบันดาลใจจากสุนทรพจน์และศิลปะการพูดของเชอร์ชิลล์ บทภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ของเขา คือ The Theory of Everything ซึ่งได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ บอกเล่าเรื่องราวของสตีเฟน ฮอว์กิ้ง บุรุษผู้ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งที่คำพูดของเขาเปลี่ยนแปลงโลก ถึงแม้จะหลังจากที่เขาพูดไม่ได้อีกแล้ว แม็คคาร์เทนรู้สึกว่าช่วงเวลาที่ตึงเครียดระหว่างวันที่ "10 พฤษภาคม ถึง 4 มิถุนายน" ที่วินสตันพลิกสถานการณ์ จากความมืดมิดให้กลายเป็นแสงสว่าง ดึงดูดใจเขา
จุดเริ่มต้นสำคัญในการเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Darkest Hour ของเขา คือสุนทรพจน์สามบทที่เชอร์ชิลล์เขียนและกล่าว ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน ปี 1940 อย่างที่กล่าวกันว่าสองสามวันแรกและสองสามสัปดาห์แรกของการทำงานเป็นสิ่งที่ยาก สำหรับบุรุษวัย 65 ผู้นี้ การได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของอังกฤษในวันที่ 10 พฤษภาคม ปี 1940 เกิดขึ้นในเวลาที่เดิมพันอาจจะสูงกว่านั้น กองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรทำสงครามกับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์แล้ว และประชาธิปไตยก็พ่ายแพ้ต่อกองทัพนาซีประเทศแล้วประเทศเล่า ตอนนี้อังกฤษกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่หมิ่นเหม่ ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้มีทางเลือกสองทาง ถ้าไม่ทำใจให้กล้าแกร่งและก้าวเข้าสู่การรบ ก็ถอยออกมาจากสงครามอย่างสิ้นเชิง พร้อมกับผลกระทบที่ไม่อาจจินตนาการได้ ต่อสถาบันกษัตริย์ของอังกฤษ
แม็คคาร์เทนบอกว่า "คำถามคือจะต่อสู้ตามลำพัง ซึ่งอาจจะถึงกับเป็นความพินาศของกองทัพและแม้แต่ประเทศชาติ หรือจะเลือกวิธีปลอดภัยไว้ก่อน อย่างที่ไวเคานต์ฮาลิแฟกซ์และนายกรัฐมนตรี (ที่เพิ่งลาออก) เนวิลล์ เชมเบอร์เลนเชื่อ และพิจารณาเรื่องการลงนามในสนธิสัญญากับฮิตเลอร์ วินสตันจำเป็นต้องสู้ในศึกครั้งนี้ และเขาพบว่าตัวเองกำลังรบกับกลุ่มชนชั้นนำของประเทศ"
"เรื่องราวในหนังเกี่ยวข้องกับอดีต แต่มันก็สะท้อนมาถึงปัจจุบันด้วย บ่อยครั้งมากทุกวันนี้ที่ 'ผู้นำ' ของเราเป็นผู้ตาม การตัดสินใจเหล่านี้ที่ทำในเวลาไม่ถึงเดือน ส่งผลไปทั่วโลก"
หลายชีวิตยังแขวนอยู่บนเส้นด้ายระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน ปี 1940 เมื่อทหารอังกฤษกว่า 200,000 นาย ซึ่งเป็นกองกำลังนอกประเทศทั้งหมดของสหราชอาณาจักรติดอยู่ที่หาดดันเคิร์ก, ประเทศฝรั่งเศส และรอคอยความช่วยเหลือและการอพยพออกจากที่นั่น
การค้นคว้าข้อมูลของแม็คคาร์เทน ทำให้เขาได้พบบันทึกการประชุมของคณะรัฐมนตรีสงครามของเชอร์ชิลล์ "บันทึกเหล่านี้เปิดเผยถึงช่วงเวลาของความไม่แน่ใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ได้นึกถึงเมื่อมองถึงความเป็นผู้นำที่แน่วแน่ของเขา วินสตันรู้ว่าเขาเคยตัดสินใจผิดพลาดหลายครั้งในอดีต โดยเฉพาะการรบที่กัลลิโปลีในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง การอ่านบันทึกการประชุมอย่างละเอียด ไม่เพียงบอกให้รู้ว่าผู้นำกำลังตกที่นั่งลำบาก เพราะถูกโจมตีจากรอบด้าน และไม่แน่ใจว่าควรจะเดินไปในทิศทางใด แต่ยังบอกให้รู้ว่าประเทศกำลังเข้าใกล้อันตรายมากแค่ไหนในการก้าวเข้าสู่ข้อตกลง 'สันติภาพ' กับศัตรู ที่ถ้าไม่ยกเลิก อาจจะเปลี่ยนโฉมหน้าของโลกไปตลอดกาล"
แม็คคาร์เทนบอกว่าบทภาพยนตร์ของ Darkest Hour เขียนขึ้นเพื่อ "วิเคราะห์วิธีการทำงานและคุณสมบัติของความเป็นผู้นำ และกระบวนการทางความคิด วินสตันเชื่ออย่างแรงกล้าว่าคำพูดมีความสำคัญ และเขาหยิบปากกาขึ้นมา เพื่อช่วยเขาและประเทศชาติของเขาต่อสู้กับภัยคุกคามที่น่ากลัว ในขั้นตอนนั้นทำให้เกิดวีรบุรุษขึ้น จากความดื้อดึงของเขาเอง" DARKEST HOUR ชั่วโมงพลิกโลก 11 มกราคม นี้ ในโรงภาพยนตร์
ตัวอย่างซับไทย