หลากหลายเกร็ดน่ารู้เบื้องหลัง Pet Sematary (2019)

Movie News18 เมษายน 2562

          อีกหนึ่งหนังสยองขวัญที่ดัดแปลงมาจากนิยายของสตีเฟน คิง เจ้าพ่อนิยายสยองขวัญตลอดกาล Pet Sematary เคยถูกสร้างเป็นหนังมาแล้วเมื่อ 30 ปีก่อน และได้รับการตอบรับอย่างดี ถึงความน่ากลัวของหนัง ในวันนี้ Pet Sematary ถูกกลับมารีเมคอีกครั้ง นอกจากคงความสยองของบทประพันธ์ไว้ครบถ้วน แล้วยังปรุงแต่งเพิ่มเติมความน่ากลัวลงไปมากขึ้นตามยุคสมัย หนังออกฉายในอเมริกาไปเมื่อวันที่ 5 เมษายน ก่อนหน้าบ้านเราหนึ่งสัปดาห์ แล้วหนังก็ทำกำไรไปอีกเท่าตัวจากทุนสร้าง ทำกำไรไปเรียบร้อยแล้ว ตอกย้ำถึงความน่ากลัวของหนังและแฟนๆ ของสตีเฟน คิง และนี่คือเกร็ดเบื้องหนังที่น่าสนใจ จะอ่านก่อนดูเพื่อเพิ่มอรรถรสในการชม หรือชมแล้วมาอ่านก็ช่วยให้นึกภาพตามไปได้ในหลายๆ ฉาก



- หนึ่งในคาแรกเตอร์สำคัญของหนัง Pet Sematary คือเจ้าเหมียวเชิร์สผู้เริ่มต้นบรรยากาศสยองให้กับเรื่องราว ทำให้ทีมงานต้องให้ความสำคัญกับดาราแมวที่มารับบทเชิร์สนี้อย่างมาก ถึงกับต้องใช้แมวเหมียวถึง 5 ตัวในการมาเล่นเป็นเชิร์ส ทีมงานได้เสาะหาแมวมาได้ 5 ตัว และทั้งหมดเป็นแมวจากสถานสงเคราะห์ไม่มีเจ้าของ ถูกส่งมาอยู่ในการดูแลของ เมลิสซา มิลเล็ตต์ ผู้ฝึกสอนสัตว์ประจำกองถ่าย จาก 5 ตัวที่มาเข้ารับการฝึกได้ไม่นานก็เหลือเพียงแค่ 4 ตัว เพราะหนึ่งในนั้นเป็นแมวขี้ตื่น ไม่สามารถเข้ากับผู้ฝึกและแมวอื่นได้ ดาราแมวเหมียวได้รับการดูแลอย่างดี ประหนึ่งดาราใหญ่ ทุกตัวมีเทรลเลอร์ส่วนตัว ตัวละหนึ่งเทรลเลอร์ที่พวกเหมียวจะได้พักอยู่กับผู้ฝึกสอนส่วนตัว แค่นั้นยังไม่พอ ทีมงานยังสร้างสนามแมวเล่นไว้ข้างเทรลเลอร์ เพื่อให้ดาราเหมียวได้มาพักผ่อนวิ่งเล่นกันระหว่างพักกอง ดาราแมวเหมียวต้องเข้ารับการฝึกอย่างหนัก ก่อนเปิดกล้องถึง 2 เดือน และใช้เวลาในกองถ่ายอีก 2 เดือนครึ่ง เจ้าเหมียวที่ผ่านการฝึกทั้ง 4 ตัว สามารถทำงานได้ดี เข้ากันได้ดีระหว่างเพื่อนเหมียว และนักแสดงมนุษย์ทั้งเจสัน คลาร์ค และ จอห์น ลิธกาว ข่าวดีที่สุดคือหลังปิดกล้อง เหมียวทั้ง 5 ก็มีบ้านอันอบอุ่น 2 ตัวไปอยู่กับทีมงานในกองถ่าย เมลิสซา หาเจ้าของให้ได้อีก 2 ตัว แล้วเธอก็เอาไปเลี้ยงเอง 1 ตัว



- ในฉากงานวันเกิดของเอลลี่ ถ้าตั้งใจฟังดีๆ จะได้ยินเสียงจั๊ดพูดอยู่ในฉากหลังว่า "หมีหมาเซนต์ เบอร์นาร์ด ตัวยักษ์ใหญ่ ในเมืองข้าง ๆ ติดโรคพิษสุนัขบ้า...." บทนี้มีอยู่ในนิยาย และในหนังเวอร์ชั่นปี 1989 ที่สตีเฟน คิง จงใจอ้างอิงถึง คูโจ้ หมาปีศาจจาก Cujo อีก 1 นิยายดังของเขาในปี 1982 และถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในปี 1983


หนูน้อยเกจ ใน pet sematary ปี 1989


- นอกจาก Pet Sematary ในเวอร์ชั่นใหม่นี้จะมีการเขียนฉากจบใหม่ที่ต่างจากนิยายและหนังเวอร์ชั่นแรกแล้ว ในตอนที่สร้างหนังเวอร์ชั่นแรกนั้น สตีเฟน คิง เป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์ด้วยตัวเอง เขาได้เสนอทีมงานว่าเขามีไอเดียสำหรับฉากจบใหม่ที่ต่างจากนิยายดังนี้ "เกจ เด็กน้อยปีศาจหลังจากเสร็จภารกิจก็เดินอยู่กลางถนน ในขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังขึ้นจากขอบฟ้า ทันใดนั้นรถบรรทุกคันใหญ่ก็วิ่งมาด้วยความเร็ว คนขับเห็นเด็กน้อยเดินอยู่กลางถนนในระยะกระชั้นชิด ถ้าเขาเบรคก็จะต้องล้มไถลไปบนพื้นถนนเป็นแน่ แต่ในขณะนั้นที่รถใกล้จะถึงตัวเกจ ก็พลันหญิงสาวโผล่มาจากข้างทางคว้าตัวเกจให้พ้นจากถนนได้ทันท่วงที เธอลูบหน้าลูบหัวเกจด้วยความอกสั่นขวัญหาย พลันก็ถามหนูน้อยว่า พ่อแม่เธออยู่ไหนกัน" นั่นคือฉากจบใหม่ตามไปเดียของสตีเฟน คิง แต่ทีมงานก็ไม่สนใจ และคงฉากจบตามนิยาย


ลูคัส และ ฮิวโก้ ลาวา


- pet sematary เวอร์ชั่นปี 1989 นั้นใช้เด็กหญิงฝาแฝดมารับบทเป็น "เอลลี่" แต่ในเวอร์ชั่นใหม่นี้สลับกันตรงที่ ใช้เด็กชายฝาแฝด ลูคัส และ ฮิวโก้ ลาวา มารับบทเป็น "เกจ" แต่ในหนังเวอร์ชั่น 1989 นั้น ทางทีมงานก็เสนอให้ผู้กำกับแมรี่ แลมเบิร์ต ใช้เด็กแฝดเล่นเป็นเกจเช่นกัน แต่เธอก็พึงพอใจกับหนูน้อย มิโก ฮิวจ์ ที่สุดท้ายได้รับบทเป็นเกจ


เซลด้า ในเวอร์ชั่นใหม่นี้สยองกว่าเวอร์ชั่นก่อนมาก


- ผู้กำกับเควิน คอลช์ เล่าสาเหตุที่เขาเปลี่ยนฉากการตายของ "เซลด้า" ว่าเขาได้ไอเดียมาจากข่าวบริกรสาวฝึกหัด พลัดตกมากับลิฟต์ส่งอาหารทำให้เธอคอหักตายในสัปดาห์แรกของการทำงาน เควิน จินตนาการถึงภาพการตายแบบนี้แล้วมันช่างสยดสยอง เขาก็เลยเอามาผสมผสานลงในเรื่องราว "ทุกวันนี้ผมคิดถึงข่าวนี้ก็ยังขนลุกอยู่เลย"เควิน เปรย

- ทีมงานได้คิดฉากจบขึ้นมา 3 แบบ เขาจัดอันดับทั้ง 3 แบบว่า "มืด" "มืดหม่น" และ "มืดสนิท" และสุดท้ายได้ถ่ายทำไป 2 แบบ แบบแรกคือฉากจบตามเนื้อหาในนิยาย และอีกฉากก็ตามที่ได้ออกฉายนี่ล่ะ ทีมงานได้ทดลองฉายทั้ง 2 แบบให้ผู้ชมดูในรอบทดลอง แล้วผลตอบรับจากผู้ชมว่าชอบฉากจบในแบบใหม่นี่มากกว่า และฉากจบแบบใหม่ที่สุดท้ายอยู่ในเวอร์ชั่นที่ออกฉาย ก็คือฉากจบที่ทีมงานจัดอันดับให้เป็นฉากจบที่ "มืดสนิท"  ลอเรนโซ ดิ โบนาเวนทูรา ผู้อำนวยการสร้างเล่าเสริมเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า "เรามีฉากจบให้เลือก 2 แบบ แต่ชั้นก็ใช้วิธีปล่อยให้คนดูเป็นผู้ตัดสินว่าเขารู้สึกอย่างไร ฉันลองฉายรอบทดลองให้คนดูทั้ง 2 แบบ แล้วก็เหมือนว่าคนดูจะตอบรับกับตอนจบแบบใหม่นี่ดีกว่า" ซึ่งก็ตรงกับใจของทีมงาน และ 2 ผู้กำกับก็บอกว่าเขาไม่เคยมีความคิดจะให้ Pet Sematary ได้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งอยู่แล้ว

- มีรายละเอียดบางอย่างที่ต้องตัดทิ้งออกไปในเวอร์ชั่นสุดท้ายของหนัง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ที่ต้องยอมสูญเสียเรื่องราวความสัมพันธ์ที่ไม่ดีระหว่าง พ่อตาและลูกเขย ซึ่งก็คือพ่อของแรเชล และ หลุยส์ สิ่งที่คงเหลือไว้ในหนังก็คือสายตาอันดูหมิ่นจากพ่อตาที่มองมายังหลุยส์ในงานศพ เป็นสายตาที่กล่าวโทษว่าหลุยส์เป็นสาเหตุการตายของเอลลี่ ซึ่งลอเรนโซ เองก็บอกว่าชอบเนื้อหาในส่วนนี้มาก แต่ก็ไม่มีเวลาพอที่จะเก็บฉากเหล่านี้ไว้


เควิน คอลช์ หนึ่งในสองผู้กำกับของหนัง


- ผู้กำกับ เควิน คอลช์ ได้ให้ทัศนคติในการดัดแปลงบทภาพยนตร์ให้ต่างไปจากนิยายต้นฉบับอย่างมากว่า เขาอยากจะหามุมมองใหม่ๆ ให้กับเรื่องราวที่คนดูคุ้นเคย "เมื่อผมมาสร้างหนังจากนิยาย สิ่งที่ผมอยากทำมากที่สุดก็คือใส่ความใหม่ สด ให้กับเนื้อหาเรื่องราวเดิมให้มากสุดเท่าที่จะทำได้ ยิ่งโดยเฉพาะหนังที่เคยสร้างมาแล้วครั้งหนึ่งด้วย แต่ในขณะที่ดัดแปลงเรื่องราวนั้น ผมจะต้องคงหัวใจของนิยายไว้ให้ได้ เพื่อให้คนดูยังรับรู้ได้อยู่ว่าเขากำลังดู Pet Sematary ของ สตีเฟน คิง อยู่นะ"

- ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงจุดใหญ่ๆ ในบทภาพยนตร์จากนิยายนั้น 2 ผู้กำกับนั้นให้ความเคารพกับสตีเฟน คิง มาก ทั้งคู่ได้แจ้งสตีเฟน คิง ตั้งแต่แรกๆ ของการเตรียมงานสร้างเลย เพราะเป็นทั้งการขออนุญาตและอยากฟังความเห็นจากสตีเฟน คิง ซึ่งผลตอบรับกลับมาจากเขานั้นเยี่ยมเกินคาด"



- ในนิยายนั้น สตีเฟน คิง เล่าไว้ว่า ชนเผ่ามิคแมคได้ทิ้งถิ่นฐานจากละแวกนี้ไป โดยไม่ได้อธิบายถึงเหตุผลของการโยกย้ายถิ่นฐาน แต่ในเวอร์ชั่นนี้ 2 ผู้กำกับเลือกจะเจาะจงลงลึกถึงสาเหตุที่ชนเผ่าพื้นเมืองได้ค้นพบพลังลึกลับในพื้นดินแถบนี้ แล้วรู้สึกถึงว่าพลังอาถรรพ์นี้มีผลกระทบต่อวัฒนธรรมการดำเนินชีวิตของพวกเขา เลยเลือกที่จะย้ายจากถิ่นฐานนี้ไป



- ทีมงานฝากให้สังเกตถึงความละเอียดของงานสร้าง ตอนที่"เชิร์ส"เจ้าเหมียวน้อย และ "เอลลี่" กลับมาจากป่าช้า หนังตาของทั้งเด็กน้อยและแมวจะหรี่ลงหนึ่งข้าง



- ในหนังมีประโยคหนึ่งของหลุยส์เล่าว่า งานเก่าของเขาก่อนจะย้ายมาลัดโลว์นั้น เขาทำงานกะดึกในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล ศัพท์อังกฤษของ "งานกะดึก" ก็คือ "Graveyard Shift" ซึ่งประโยคนี้ถูกใส่มาในหนังเพื่อแทนคำสดุดีให้กับอีกนิยายฮิตของสตีเฟน คิง ที่ถูกสร้างเป็นหนังในปี 1990


แดนนี่ ทอร์แรนช์ จากหนัง The Shining


- มีอีสเตอร์เอ้กแอบซ่อนไว้ในหนังด้วย ในชั่วแวบหนึ่ง ผู้ชมอาจจะสังเกตเห็นป้ายชื่อที่ติดอยู่หน้าบ้านใหม่ของครอบครัวครีดเขียนว่า "D. Torrance Realty" แปลได้ว่า บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ดี.ทอร์แรนซ์  ซึ่งชื่อ ดี. ทอร์แรนซ์ นี้อิงมาจากชื่อ แดนนี่ ทอร์แรนซ์ ตัวละครเอกจากนิยาย The Shining อีกหนึ่งนิยายดังที่ถูกสร้างเป็นหนังในปี 1980

- เดิมทีทีมงานวางกำหนดฉายไว้ในวันที่ 19 เมษายน 2019 เพื่อให้ใกล้เคียงกับวันฉายเดิมของหนังเวอร์ชั่นแรก คือวันที่ 21 เมษายน 1989 ก็จะทำให้กล่าวได้ว่าหนัง 2 เวอร์ชั่นห่างกัน 30 ปีเป๊ะ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเขยิบวันฉายให้เร็วขึ้นเป็น 5 เมษายน เหตุจากวิเคราะห์ถึงความสำเร็จของ A Quiet Place หนังสยองขวัญที่ปล่อยฉายตอนต้นเดือนเมษายนเช่นกัน ว่าน่าจะเป็นช่วงเวลาเปิดตัวหนังที่ดีกว่า


ทิมมี่ เบตแมน ในหนัง Pet Sematary เวอร์ชั่น 1989


- อีกหนึ่งอีสเตอร์เอ้กที่อ้างอิงถึงหนังเวอร์ชั่นปี 1989 คือเรื่องราวของ ทิมมี่ เบตแมน ในหนังเวอร์ชั่นแรกนั้น จั๊ด เล่าให้หลุยส์ฟังถึงเรื่องราวของ ทิมมี่ เบตแมน เป็นศพในอดีตที่เคยถูกนำไปฝังในป่าช้าอาถรรพ์แล้วก็กลับมาในสภาพซอมบี้ แต่ในเวอร์ชั่นนี้กลับตัดเรื่องเล่าของทิมมี่ เบตแมน ออกไป แต่ให้สังเกตในฉากที่ หลุยส์ เริ่มเสิร์ชหาเรื่องราวของป่าช้าอาถรรพ์ในอินเตอร์เน็ต หลังเห็นว่าเชิร์สฟื้นคืนชีพกลับมาบ้านได้ และหนึ่งในเรื่องราวที่ปรากฏบนหน้าจอมอนิเตอร์ ก็จะมีบทความกล่าวถึงทหารผ่านศึกเวียตนามชื่อทิมมี่ เบตแมน ที่มีพยานอ้างว่าพบเห็นเขาอีกหลังพิธีศพของเขา

- ในนิยายต้นฉบับมีการกล่าวถึง นอร์มา แครนดัล ภรรยาของจั๊ด แต่สตีเฟน คิง ผู้ดัดแปลงนิยายของตัวเองเป็นบทภาพยนตร์ให้หนังเวอร์ชั่น 1989 ได้ตัดเรื่องราวของนอร์มา แครนดัล ออกไป ด้วยเหตุผลว่าเรื่องราวของเธอไม่มีผลต่อเนื้อหาหลักของเรื่อง แต่ในเวอร์ชั่นใหม่นี้ นอร์มา แครนดัล ถูกหยิบกลับมาพูดถึง เพื่อให้เอลลี่หยิบการตายของนอร์มา มาพูดถึงเพื่อทรมานจิตใจจั๊ด

- แอนดี้ มุสเชตติ ผู้กำกับ IT อีกหนึ่งหนังที่ดัดแปลงจากบทประพันธ์ของสตีเฟน คิง และประสบความสำเร็จอย่างมาก ซึ่งแอนดี้ เองก็ออกปากว่าสนใจจะกำกับ Pet Sematary ด้วยเช่นกัน



- เมืองลัดโลว์ ที่เป็นสถานที่หลักในเรื่องทั้งในหนังและในนิยาย Pet Sematary ,สตีเฟน คิง เคยใช้เมืองลัดโลว์เป็นสถานที่หลักมาแล้วในนิยาย The Dark Half น่าสนใจที่ว่านิยายทั้ง 2 เรื่องมีพลอตที่คล้ายคลึงกันคือ ตัวละครหลักโดนด้านมืดของตัวเองครอบงำและกลายเป็นสาเหตุให้คนรอบข้างเขาเองต้องถึงแก่ความตาย



- แมวในเรื่องนี้ชื่อ "เชิร์ส" ซึ่งย่อมาจากชื่อของ วินสตัน เชอร์ชิล ประโยคนี้อยู่ในบทสนทนาที่เอลลี่ เล่าให้ลุงจั๊ดฟัง ก็บังเอิญอีกที่ว่า จอห์น ลิธกาว ผู้รับบท"จั๊ด" ก็เล่นเป็น วินสตัน เชอร์ชิล ในทีวีซีรีส์เรื่อง The Crown

 

ตัวอย่างภาพยนตร์