5 เหตุผลว่าทำไมดาเมียน ชาเซลล์ ผู้กำกับ First Man คือผู้กำกับที่น่าจับตามองที่สุดในยุคนี้

Movie News17 ตุลาคม 2561

                    จากปี 2009 ดาเมียน ทำหนังเล็กออกมาหนึ่งเรื่อง Guy and Madeline on a Park Bench ตัวหนังไม่โด่งดังอะไรมากนัก ฉายโชว์ตามเทศกาลแล้วก็เก็บเกี่ยวรางวัลมาบ้าง พอมาถึง 2014 รัศมีของดาเมียน ก็เริ่มฉายแสงกับ Whiplash หนังเกี่ยวกับดนตรีแจ๊สที่เข้มข้นทั้งเนื้อหาและการแสดง หนังเป็นที่กล่าวขวัญมาก จนชื่อของดาเมีย ชาเซลล์ เริ่มเป็นที่รู้จัก และลงเอยด้วยการคว้า 3 ออสการ์ในปีนั้น แต่พลังของดาเมียน ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น ปี 2016 เขาแสดงให้โลกเห็นว่าเขายังมีพลังในการสร้างสรรค์อยู่อีกมาก แล้วก็ปล่อยมันออกมากับ LaLa Land หนังย้อนยุคฮอลลีวู้ดวันวาน ประกาศศักดาด้วยการคว้าถึง 6 ออสการ์ เว้นวรรคไป 2 ปี ดาเมียน กลับมาอีกครั้ง แต่รอบนี้ออกห่างจากเรื่องราวเกี่ยวกับดนตรี เปลี่ยนแนวมาเป็นหนังชีวประวัติระทึกขวัญ เรื่องของ นีล อาร์มสตรอง ชายที่คนแทบทั่วโลกรู้จักในฐานะบุรุษคนแรกที่ก้าวเท้าเหยียบดวงจันทร์ ซึ่งดาเมียน จะหยิบชีวิตช่วงที่เขาปฏิบัติภารกิจระดับโลกมาตีแผ่แง่มุมที่เรายังไม่เคยรู้ ให้ได้รู้ซึ้งถึงพลังแห่งการเสียสละของชายผู้นี้ แน่นอนว่าก้าวนี้ของดาเมียน ย่อมเป็นที่คาดหวังและจับตามองอีกครั้งว่าดาเมียนกับงานในทิศทางใหม่จะทำออกมาได้น่าประทับใจเพียงใด กับวัยเพียง 33 ปี ดาเมียนพาตัวเองมาอยู่จุดที่เรียกว่าสูงสุดของฮอลลีวู้ด ในฐานะผู้กำกับคนหนึ่ง ก็ไม่น่าจะเกินไป และนี่คือ 5 ข้อยืนยันว่า ดาเมียน ชาเซลล์ คือผู้กำกับทีทรงพลังที่สุดในวันนี้

 

1. เขาคือผู้กำกับที่อายุน้อยที่สุดที่คว้ารางวัลออสการ์สาขา "ผู้กำกับยอดเยี่ยม"



         วันที่เขาก้าวเท้าขึ้นเวทีออสการ์และรับรางวัล"ผู้กำกับยอดเยี่ยม"นั้น ดาเมียนมีอายุเพียง 32 ปี 38วัน และนั่นคือสถิติใหม่ของฮอลลีวู้ด ที่ดาเมียน ชาเซลล์ เป็นผู้ทำลายในฐานะผู้กำกับที่อายุน้อยที่สุดที่คว้ารางวัลนี้ไปได้ และเป็นการทำลายสถิติ ครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ออสการ์ด้วย เหตุเพราะผู้ที่ครองตำแหน่ง ผู้กำกับที่อายุน้อยที่สุดที่คว้าออสการ์ผู้กำกับยอดเยี่ยม คนก่อนหน้านั้นคือ นอร์แมน ทัวร็อก จากหนังเรื่อง Skippy ในปี 1931 ในขณะนั้นนอร์แมน อายุ 32 ปี กับ 260 วัน  แต่ที่สำคัญคือดาเมียน ได้ทำลายสถิติที่คงอยู่ยาวนานมาถึง 86 ปีในประวัติศาสตร์ฮอลลีวู้ด ความสำเร็จครั้งนี้กับ La La Land ไม่ได้ส่งผลแค่ตัวเขา แต่ตัวหนังยังประกาศศักดามากมายบนเวทีออสการ์ในวันนั้น ด้วยการเข้าชิงมากถึง 14 รางวัล รวมถึงรางวัลใหญ่อย่าง "ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม" อีกด้วย และคว้ามาได้สำเร็จถึง 6 รางวัล

 

2."Whiplash" หนังแจ้งเกิดเรื่องยิ่งใหญ่



           ก่อนที่ LaLa Land จะไปประกาศศักดาบนเวทีออสการ์ ผลงานแจ้งเกิดดาเมียน ชาเซลล์ ก่อนหน้านั้นก็คือ Whiplash ในปี 2014 ไม่เพียงแต่ทำให้ชื่อของดาเมียน ชาเซลล์ เป็นที่รู้จัก หนังยังสร้างชื่อให้กับนักแสดงรุ่นใหญ่อย่าง เจ.เค. ซิมมอนส์ อีกด้วย กับการฝากฝีมือการแสดงที่สะกดสายตาคนดูได้อยู่หมัดในบท เทอร์เรนซ์ เฟลตเชอร์ คุณครูจอมเกี้ยวกราด และบทบาทนี้ก็ทำให้ เจ.เค. คว้าออสการ์นักแสดงสมทบชายบนเวทีออสการ์ได้สำเร็จ ส่งให้เขาเป็นนักแสดงงานชุกในวัย 59 ปี แม้ Whiplash จะเป็นหนังที่เล่าเรื่องราวในโรงเรียนสอนดนตรี แต่ก็ถ่ายทอดบรรยากาศออกมาได้เข้มข้นและตึงเครียดอย่างมาก ผ่านสายตาของ แอนดรูว์ ไนแมน นักเรียนกลองเพลงแจ๊ส ที่ต้องรับมือกับความเข้มงวดดุดันของอาจารย์เทอเรนช์ เฟลตเชอร์ ซึ่งดาเมียน ก็ถ่ายทอดบรรยากาศตึงเครียดกดดันออกมาได้สมจริงก็เพราะเขาถ่ายทอดเรื่องราวมาจากประสบการณ์ของเขาเอง ตอนที่เรียนในโรงเรียนดนตรี ผลสุดท้ายหนังได้เข้าชิงถึง 5 รางวัลออสการ์ รวมถึงรางวัลใหญ่อย่าง "ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม" แล้วก็คว้ามาได้ถึง 3 ตัว

 

3. เขาเป็นนักประพันธ์ฝีมือดี



          วันนี้ดาเมียน มีออสการ์ผู้กำกับยอดเยี่ยมมาเป็นเกียรติประวัติให้กับตัวเองไปแล้ว แต่เขาก็ยังไม่หยุดพัฒนาความสามารถตัวเอง และยังคงจะสร้างสถิติใหม่ๆ ให้กับตัวเองและฮอลลีวู้ดไปอีกเรื่อย ๆ และอีก 1 ความสามารถของเขาก็คืองานเขียน  เพราะผลงานทุกเรื่องที่ดาเมียนกำกับ เขาเขียนบทภาพยนตร์เอง และบางเรื่องก็ร่วมเขียน ผลงานเขียนบทของเขาใน Whip Lash และ Lala Land ได้เข้าชิงออสการ์มาทั้ง 2 เรื่อง เพียงแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่เชื่อว่าไม่นาน จากนี้ดาเมียนต้องได้ออสการ์สาขาบทภาพยนตร์แน่นอน ดาเมียนไม่เพียงแต่เขียนบทเฉพาะหนังที่เขากำกับเท่านั้น หนังหลาย ๆ เรื่องที่ผ่านตาเราก็เป็นผลงานเขียนบทของเขาเช่นกันอย่างใน The Last Exorcism Part II และ 10 Cloverfield Lane ซึ่งทั้ง 2 เรื่องมาในแนวตื่นเต้นระทึกขวัญที่ดูไม่ใช่ตัวตนของดาเมียนเลยด้วยซ้ำ

 

4. เป็นผู้กำกับที่มีความสามารถรอบตัว



เราได้เห็นผลงานก่อนหน้าของดาเมียนมาแล้ว 2 เรื่อง กับหนังที่มีฉากหลังเกี่ยวกับดนตรี เพื่อพิสูจน์ว่าเขาสามารถทำงานได้หลากหลายแนว เขาพักงานเกี่ยวกับดนตรีไว้แค่นั้น แล้วก็เลือกจับแนวทางที่แปลกใหม่ในผลงานต่อไป ใน "First  Man"ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือ First Man: The Life of Neil A Armstrong ของ เจมส์ แฮนเซน , First Man หนังจะเล่าเรื่องราวของปฏิบัติการอพอลโล 11 ผ่านสายตาของ นีล อาร์มสตรอง ให้ผู้ชมได้รับรู้ความยากลำบากและเสียสละของเขาในแง่มุมที่โลกไม่เคยรู้ ผ่านความตึงเครียดทุกขั้นตอนของปฏิบัติการจนล่วงลุเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ และเชื่อว่าในอนาคตเราจะต้องได้เห็นผลงานในแนวแปลกๆ ใหม่จากดาเมียนอีกแน่นอน เพราะตอนนี้ดาเมียนก็ซุ่มทำโปรเจ็กต์ใหม่กับ แอปเปิ้ลทีวีแล้วด้วย

 

5. First Man จะได้ประกาศศักดาบนเวทีออสการ์อีกครั้ง



           แม้หนังจะยังไม่ถึงกำหนดฉาย แต่ก็เริ่มมีเสียงร่ำลือในฮอลลีวู้ดแล้วว่า First Man จะได้เข้าชิงออสการ์อีกหลายสาขาแน่นอน ลือไปถึงว่า ดาเมียน ชาเซลล์ จะได้คว้าออสการ์ "ผู้กำกับยอดเยี่ยม" เป็นตัวที่2 ของเขา และหนังก็มีสิทธิ์จะได้รางวัลใหญ่อย่าง "ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม"อีกด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันเกินไป เพราะ 2 เรื่องก่อนหน้านี้ก็ได้เข้าชิงทั้ง 2 รางวัลใหญ่นี้มาแล้ว แต่โอกาสใหม่ ๆ อย่าง ไรอัน กอสลิง ก็น่าจะคว้าออสการ์ 'นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม"จากบท นีล อาร์มสตรอง นี่ก็เป็นไปได้สูง ไม่ว่าจะพิจารณาในด้านใดใน First Man ก็ดูทีท่าว่าเป็นไปได้ที่หนังจะได้เข้าชิงในทุกสาขาใหญ่ ซึ่งรวมไปถึง "รางวัลถ่ายภาพยอดเยี่ยม" และการจำลองฉากให้เป็นบรรยากาศย้อนไปยุค 60s ก็น่าจะทำให้ได้เข้าชิงในสาขา "ออกแบบฉาก" ด้วยเช่นกัน

พิสูจน์ความสามารถของผู้กำกับอัจฉริยะ ดาเมียน ชาเซลล์ ด้วยกัน 25 ตุลาคม นี้ ในโรงภาพยนตร์

 

ตัวอย่างภาพยนตร์