10 ผู้กำกับดัง ที่เริ่มต้นอาชีพด้วยหนังสยองขวัญ
หนังสยองขวัญ เป็นหนังทางเลือกที่ดีในการเริ่มต้นอาชีพในวงการภาพยนตร์ เหตุเพราะใช้ทุนต่ำ ใช้นักแสดงไม่มาก โอกาสเสี่ยงเจ๊งมีน้อย และถ้าทำออกมาได้น่ากลัวโอกาสประสบความสำเร็จทำกำไรก็เป็นไปได้สูง บรรดาผู้กำกับที่มีชื่อเสียงหลายคน ก็ล้วนแต่เริ่มต้นอาชีพกับหนังสยองขวัญ อาจจะเริ่มต้นด้วยการกำกับ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องในหนังสยองขวัญไม่ว่าจะเขียนบท หรืออำนวยการสร้าง , ในช่วง 2 - 3 ปีหลังก็มีผู้กำกับหน้าใหม่ที่แจ้งเกิดจากหนังสยองขวัญอยู่มาก และบางคนก็ได้ไปจับหนังทุนสูงกันแล้ว อย่างเช่น สก็อตต์ เดริคสัน ที่เริ่มต้นด้วยหนัง "Sinister" (2012) ล่าสุดก็กลายเป็นผู้กำกับ "Doctor Strange" (2016) ไปแล้ว , เฟเด อัลวาเรซ ที่เริ่มต้นด้วยการรีเมคหนังสยองขวัญ "Evil Dead"(2013) และได้รับเสียงฮือฮาสุด ตอนกำกับ "Don't Breathe" (2016) ล่าสุดก็ได้ไปกำกับโปรเจ็กต์ใหญ่อย่างภาคต่อของอีสาวรอยสัก "The Girl in the Spider's Web" ที่มีกำหนดออกฉายในปลายปีนี้แล้ว
และล่าสุดที่น่าจับตามองมากก็คือ อารี แอสเตอร์ ที่เพิ่งมีหนัง "Hereditary" หนังสยองขวัญที่ได้เสียงร่ำลือว่าน่ากลัวสุดของปีนี้ และเป็นที่ต้องการตัวของสตูดิโอใหญ่ของฮอลลีวู้ด ถึงตอนนี้ อารี จะยังไม่อยากทำหนังทุนสูง ก็รอดูไปก่อนว่าวันหนึ่งถ้าอารี เปลี่ยนใจ เราคงจะได้เห็นโปรเจ็กต์ใหญ่ที่มีชื่อ อารี แอสเตอร์ เป็นผู้กำกับก็เป็นได้ ถึงตอนนี้เรามาดู 10 สุดยอดผู้กำกับของฮอลลีวู้ดที่บางคนเราก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเคยกำกับหนังสยองขวัญกันมาแล้วในอดีต
1. เจมส์ กันน์
ชื่อเจมส์ กันน์ เป็นที่รู้จักกันในฐานะผู้กำกับ "Guardians of the Galaxy" ทั้ง 2 ภาค , ก่อนหน้านั้นชื่อของเจมส์ เป็นที่รู้จักกันในฐานะผู้กำกับหนังอินดี้ ผลงานของเขาจะเต็มไปด้วยตลกร้าย และมุกที่เกี่ยวพันกับของแหวะชวนอ้วก เจมส์ เริ่มต้นงานด้วยการเป็นมือเขียนบทให้กับ โทรมา เอ็นเตอร์เทนเมนต์ เป็นค่ายหนังที่ผลิตหนังเกรดบี หนังของค่ายนี้จะเน้นฉากอี๋แหยะ แนววิกลจริต บ้าๆ บอๆ งานเขียนบทเรื่องแรกของเจมส์ คือ "Tromeo and Juliet"(1996)เป็นหนังที่ถูกพูดถึงพอสมควรในวันที่ออกฉาย เจมส์ เขียนบทให้ โทรมา อยู่หลายเรื่องก่อนออกมาทำงานกับสตูดิโอใหญ่อย่าง วอร์เนอร์ บราเธอร์ เขาเขียนบทให้ Scooby-Doo (2002) ซึ่งก็โดนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าน่ากลัวเกินไปสำหรับเด็ก งานต่อไปของเจมส์ ก็เป็นหนังที่รู้จักกันแพร่หลายมากขึ้น เพราะเขาเขียนบท "Dawn of the Dead" (2004) ให้กับ แซค ชไนเดอร์
ปี 2006 เจมส์ ได้เริ่มกำกับหนังของตัวเองเสียทีกับ "Slither"(2006)ที่ยังคงบรรยากาศของหนังเกรดบีไว้ เรื่องของหนอนต่างดาวที่โจมตีหมู่บ้านเล็กๆ ในชนบท หนอนจะเข้าสู่ร่างกายมนุษย์แล้วร่างนั้นจะกลายเป็นซอมบี้ หนังนำแสดงโดย ไมเคิล รูเกอร์ , นาธาน ฟิลเลียน และ อลิซาเบ็ธ แบงก์ หนังได้รับเสียงตอบรับดีมากจากนักวิจารณ์ แต่จากวันนั้น เจมส์ ก็ต้องรอนานถึง 8 ปี กว่าเขาจะได้ไปกำกับโปรเจ็กต์ใหญ่อย่าง Guardians of the Galaxy (2014) ซึ่งเจมส์ ก็ไม่ลืมที่จะเอาไมเคิล รูเกอร์ มาร่วมงานด้วย
2. เจ.เจ. อบรามส์
นี่ก็อีกคนที่เริ่มต้นงานในวงการกับ โทรมา เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ตั้งแต่ เจ.เจ. อายุได้เพียง 15 ปีเท่านั้น เขาทำดนตรีประกอบหนัง และทำเสียงเอ็ฟเฟ็กต์ให้กับหนัง "Night Beast"(1982) ห่างหายไปเกือบ 20 ปี เจ.เจ. กลับมาสู่วงการอีกครั้งในฐานะผู้อำนวยการสร้าง และเขียนบทให้กับหนังสยองขวัญ "Joy Ride"(2001) เชื่อว่าแฟนหนังสยองขวัญหลายคนน่าจะเคยได้ดูเรื่องนี้กัน หนังนำแสดงโดย พอล วอล์คเกอร์ , ลีลี โชบีสกี และ สตีฟ ซาห์น เรื่องของคนขับรถบรรทุกที่เป็นฆาตกรต่อเนื่องและไล่ฆ่าหนุ่มสาวนักเดินทาง หนังได้เสียงตอบรับจากนักวิจารณ์ดีพอควร
แม้วันนี้ เจ.เจ. จะเป็นผู้กำกับอำนวยการสร้างที่ทรงอิทธิพล ลำดับต้น ๆ ในฮอลลีวู้ด เป็นผู้กำกับน้อยคนที่ได้คุมบังเหียนหนังระดับโลกทั้ง 2 เรื่องอย่าง สตาร์ เทร็ค และ สตาร์ วอร์ส แต่ เจ.เจ. ก็ยังคงหลงใหลในหนังสยองขวัญเช่นเคย ในปี 2008 เจ.เจ. อำนวยการสร้างหนังไซไฟ-สยองขวัญ แนว ฟาวนด์ ฟุตเตจ เรื่อง "Cloverfield" แม้คนดูจะบ่นว่ามึนหัวกับภาพที่สั่นไหวไปมาทั้งเรื่อง แต่หนังก็ยังประสบความสำเร็จในเรื่องความลึกลับสมจริง และสานภาคต่อ "10 Cloverfield Lane" ในปี 2016 และ "The Cloverfield Paradox" ในปีนี้ และยังมีภาคต่อของแฟรนไชส์ Cloverfield ที่กำลังจะออกมาในอนาคตคือ "God Particle"
3. แซม ไรมี
หลายคนรู้จักชื่อ แซม ไรมี ในฐานะผู้กำกับ "Spider-man" ที่แฟน ๆ ยกย่องให้ไตรภาคของเขาเป็นสไปเดอร์แมนดีที่สุดจนทุกวันนี้ แซม หลงใหลการสร้างหนังตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เขาและ บรู๊ซ แคมป์เบล เพื่อนตั้งแต่วัยเด็กของเขามักชอบถ่ายหนังกันด้วยกล้อง "Super 8" พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย แซม และ บรู๊ซ ได้ชักชวน บรู๊ซ ทาร์เพิร์ต เพื่อนของพี่ชาย ร่วมแก๊งกันถ่ายหนังสยองขวัญ ความยาว 32 นาทีเรื่อง "WithIn The Woods" หนังออกมาน่ากลัว และทีมก็อยากจะขยายเป็นหนังเรื่องยาว เลยใช้ "Within The Wood"เป็นใบเบิกทางเรี่ยไรเงินผู้คนในหมู่บ้าน เพื่อเป็นทุนในการสร้างหนังเรื่องยาว และผลสำเร็จออกมาเป็น "Evil Dead" ที่ออกมาในปี 1981 เป็นหนังที่แซม ถ่ายทำกันเองกับเพื่อนๆ ในป่าที่รัฐเทนเนสซี
ด้วยความน่ากลัวของหนัง "Evil Dead" กลายเป็นตำนานของหนังสยองขวัญ และสานภาคต่อมาอีก 2 ภาค ทำหน้าที่เป็นใบเบิกทางให้แซม ได้กลายเป็นผู้กำกับระดับร้อยล้าน แต่เขาก็ไม่เคยลืมรากเหง้าที่ตัวเองก้าวมาจากหนังสยองขวัญ แซม ตอกย้ำให้แฟนๆ ได้เห็นถึงความเป็นมาสเตอร์ของหนังสยองขวัญ แม้จะห่างไปนาน แซม สร้าง "Drag Me To Hell"ออกมาในปี 2009 กลายเป็นหนังสยองขวัญอีกเรื่องที่ถูกใจแฟนๆ เพราะหนังทั้งน่ากลัวและมันส์สะใจ
4. โจเอล โคเอ็น
เรื่องราวของแซม ไรมี ที่เรี่ยไรเงินทำหนัง "Evil Dead" กลายเป็นตำนานของฮอลลีวู้ด แต่น้อยคนที่รู้ว่าหนึ่งในทีมงานที่ช่วยแซม ไรมี สร้าง "Evil Dead" ก็คือ โจเอล โคเอ็น , ในยุคเริ่มต้นนั้น โจเอล เป็นผู้ช่วยในกองถ่ายของหนังหลาย ๆ เรื่อง แต่เรื่องแรกของเขาจริงๆ ก็คือ "Evil Dead" ที่โจเอล อยู่ในตำแหน่ง "ผู้ช่วยตัดต่อ"
โจเอล โคเอ็น เป็นที่รู้จักกันในนามของ "พี่น้องโคเอ็น" ทุกผลงานของเขาจะใช้เครดิตร่วมกับน้องชาย อีธาน โคเอ็น เสมอ ทั้งคู่ค่อยๆ สะสมชื่อเสียงในฮอลลีวู้ด ผลงานของเขาได้รับเสียงชื่นชมจากบรรดานักวิจารณ์อยู่เสมอ ผลงานกำกับเรื่องแรกของเขา "Blood Simple" (1984) เป็นหนังที่ทำให้ทุกคนรู้จักชื่อของ พี่น้องโคเอ็น อย่างแท้จริง หนังออกมาเป็นแนวนัวร์ยุคใหม่ นักวิจารณ์ต่างยกนิ้วให้ และไปคว้ารางวัลจาก เทศกาลหนังซันแดนซ์ และรางวัลจาก อินดีเพนเดนต์ สปิริต พี่น้องโคเอ็น ก็ยังสะสมชื่อเสียงมาเรื่อยๆ จากผลงานเรื่องต่อๆ มา The Big Lebowski และ O Brother, Where Art Thou? งานของพี่น้องโคเอ็น มักจะเจอกลิ่นของหนังสยองขวัญอยู่เสมอ แม้กระทั่งในผลงานที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเขา "Fargo" ที่หลายคนก็ติดหูติดตามากกับฉากเครื่องบดไม้
5. ปีเตอร์ แจ็คสัน
มาถึงเจ้าพ่อ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง ก่อนที่เขาจะกลายเป็นผู้กำกับระดับโลก ปีเตอร์ ก็ก้าวเข้าสู่วงการในฐานะผู้กำกับอิสระ ที่มีพรสวรรค์ทางด้านการทำหนังสยองขวัญ ที่น่าสะอิดสะเอียนเลยทีเดียว , ปีเตอร์ เริ่มงานในวงการด้วยการเป็นทีมงานทำสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ให้กับหนัง เคยทำหนังสั้นส่งเข้าประกวดการแข่งขันหนังสต็อปโมชั่น แต่ก็ไม่ชนะ ก็เลยหันไปสร้างหนังเอง ผลงานเรื่องแรกของเขาคือ "Bad Taste"(1987)เป็นผลงานที่ปีเตอร์ร่วมกันทำกับเพื่อนๆ แต่ตัวเขาเองรับหน้าที่ทั้งเขียนบท กำกับ ตัดต่อ และแสดงนำ แต่กว่าจะสำเร็จก็ใช้เวลาถึง 4 ปี "Bad Taste" ออกมาเป็นหนังสยองขวัญที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ตามสูตรสำเร็จของฮอลลีวู้ด แต่ก็อัดแน่นไปด้วยเลือดและฉากรุนแรงผลงานเรื่องถัดมาของเขาคือ "Meet The Feebles"เป็นหนังเชิงล้อเลียน ที่ใช้หุ่นชัก และต่อด้วย "Braindead"ผลงานที่สร้างชื่อให้กับอย่างจริงจัง Braindead ได้เข้าฉายในสหรัฐในชื่อ "Dead Alive"กลายเป็นหนังคัลต์คลาสสิกอีกเรื่อง ผู้ชมยกย่องให้เป็น "Evil Dead" ในเวอร์ชั่นนิวซีแลนด์ เพราะพระเอกของเรื่องใช้ใบมีดจากเครื่องตัดหญ้ามาต่อสู้กับพลังชั่วร้าย คล้ายกับแอช ใน Evil Dead ที่ใช้เลื่อยโซ่ , ไซม่อน เพ็กก์ นักเขียนและนักแสดง ก็ยังยกย่อง "Braindead" ว่าเป็นแรงบันดาลใจให้เขาสร้าง "Shaun of the Dead" ผลงานเรื่องดังของเขา
6. กิเย์โม เดล โตโร
ในจำนวน 10 รายชื่อนี้ กิเย์โม เป็นผู้กำกับที่เดินสายสยองขวัญมาอย่างโดดเด่นจริงจังที่สุดแล้ว แม้ผู้ชมส่วนใหญ่อาจจะรู้จักเขาในฐานะผู้กำกับ Hell Boy และ Pacific Rim แต่แท้จริงแล้วเขาคือผู้กำกับที่มาทางสายสยองขวัญตั้งแต่แรกเริ่ม งานแรกของเขาคือหนังสยองขวัญสัญชาติสเปน "Cronos"(1993)ที่มีลายเซ็นประจำของ กิเย์โม ให้เห็นอยู่ ทั้งรอน เพิร์ลแมน ในบทนำ และเรื่องราวที่เกี่ยวพันกับแวมไพร์ หนังได้รับเสียงตอบรับดีจากนักวิจารณ์ และถูกจัดอยู่ในกลุ่มของหนังควรค่าแก่การเก็บสะสม , "Mimic"(1997) ผลงานเรื่องถัดมาของเขา เป็นโปรดักชั่นฮอลลีวู้ดแล้ว เรื่องของแมลงสาบที่กลายร่างเป็นอสุรกายตัวเท่าคน เป็นผลงานที่ตอกย้ำพรสวรรค์ในการสร้างหนังสยองขวัญของกิเยร์โม
กิเย์โม ยังคงสานต่องานสยองขวัญด้วย "The Devil's Backbone"เล่าเรื่องราวกับผีได้สยองขนหัวลุกมาก ๆ แล้วก็มาถึงผลงานที่พากิเย์โม ไปถึงจุดสูงสุดในตำแหน่งผู้กำกับ กับผลงาน "Pan's Labyrinth" (2006) ที่คว้ามาได้ถึง 3 ออสการ์ นอกเหนือจากงานกำกับแล้ว กิเย์โม ก็ยังเขียนนิยายสยองขวัญอีกด้วย ในชื่อ "The Strain" เรื่องราวของแวมไพร์ดึกดำบรรพ์ ที่มีพิษสงร้ายกาจมากที่สุดในประวัติศาสตร์ แล้วนิยายก็ถูกนำไปสร้างเป็นทีวีซีรีส์ที่สานต่อมาถึงซีซัน 4 แล้ว
7. เจมส์ คาเมรอน
ใครจะไปคิดว่าผู้กำกับระดับตำนาน ก็มีจุดเริ่มต้นจากหนังสยองขวัญกับเขาด้วยเหมือนกัน เจมส์ คาเมรอน เจ้าของหนังที่ทำเงินสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ทั้งอันดับ 1 .Avatar - 2,788 ล้านเหรียญ และ อันดับ 2. -2,187.5 ล้านเหรียญ ก่อนที่เจมส์ จะมีผลงานสร้างชื่อ "Terminator" ในปี 1984
3 ปีก่อนหน้านั้น เขาก็ได้เครดิตในฐานะผู้กำกับหนังสยองขวัญทุนต่ำ "Piranha Part Two: The Spawning" ซึ่งทุกวันนี้ติดอยู่ในกลุ่มหนังห่วยที่สุดตลอดกาล ได้คะแนน 7% จากเว็บ Rottentomatoes.com ซึ่งเจมส์เองก็ออกมาปฏิเสธว่าเขาไม่ได้เป็นผู้กำกับเรื่องนี้ ก่อนหน้านั้นเขารับงานทำสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ให้หนัง "Escape From New York" (1981) ของจอห์น คาร์เพนเตอร์ แล้วเจ้าของหนัง "Piranha Part Two: The Spawning" ก็จ้างเขาไปทำสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ให้เรื่องนี้ต่อ แล้วอยู่ดี ๆ ผู้กำกับกับเจ้าของหนังก็ผิดใจกัน ผู้กำกับลาออกจากโปรเจ็กต์ ทางผู้สร้างก็เลยใส่ชื่อเจมส์ คาเมรอน ในฐานะผู้กำกับลงไปแทน ระหว่างที่อยู่ในกองถ่าย "Piranha Part Two: The Spawning" เจมส์ เกิดอาการอาหารเป็นพิษทำให้เขาฝันร้าย มองเห็นว่ามีหุ่นยนต์จากโลกอนาคตจะมาฆ่าเขา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไอเดียนี้ สานต่อกลายเป็นหนังเรื่องอะไร
8. แซค ชไนเดอร์
หัวเรือใหญ่ของหนังซูเปอร์ฮีโร่ฝั่งดีซี อย่างแซค ชไนเดอร์ ก็เริ่มต้นสร้างชื่อมาจากหนังสยองขวัญเช่นกัน แซค รีเมคหนังซอมบี้คลาสสิกเรื่องดัง "Dawn of the Dead" ของผู้กำกับ จอร์จ เอ. โรเมโร เวอร์ชั่นของแซค นั้นสร้างจากบทภาพยนตร์ฝีมือของเจมส์ กันน์ และอัดแน่นไปด้วยฉากแอ็คชั่น และ "Dawn of the Dead" ของแซค ก็เป็นการเปลี่ยนรูปแบบเดิม ๆ ของหนังซอมบี้ ให้กลายเป็นซอมบี้พันธุ์วิ่งเร็ว ทำให้หนังซอมบี้ที่สร้างหลังจากนี้กลายเป็นซอมบี้วิ่งเร็วกันหมด และทำให้หนังดูน่ากลัวกว่าเดิมมาก
หลังจาก "Dawn of the Dead" แซค ก็หันไปเอาดีกับหนังซูเปอร์ฮีโร่ และไม่เคยกลับมาทำหนังสยองขวัญอีกเลย แต่เราก็ยังมองเห็นกลิ่นอายของหนังสยองขวัญแอบแฝงอยู่ในหนังซูเปอร์ฮีโร่ของเขาเช่นกัน โดยเฉพาะใน Watchmen (2009) ในฉากปูมหลังของ รอร์แชค มาถึงวันนี้ แซค เริ่มเจอทางตันกับหนัง ซูเปอร์ฮีโร่ฝั่งดีซีแล้ว สาวกส่วนมากเริ่มไม่พอใจคุณภาพหนังภายใต้การกุมบังเหียนของแซค เราอาจจะได้เห็นแซคหวนกลับมาจับหนังสยองขวัญแนวที่เคยสร้างชื่อให้กับ เขาอีกสักเรื่อง
9. ริดลีย์ สก็อตต์
"Alien" (1979) ของริดลีย์ สก็อตต์ คือหนังสยองขวัญจากยุค 80s ที่ขึ้นแท่นหนังคลาสสิก แรงบันดาลใจของริดลีย์ มาจากการได้ดู Star Wars แล้วอยากจะทำหนังที่มากด้วยสเปเชียลเอฟเฟ็กต์และมีสัตว์ประหลาดเป็นตัวขับเคลื่อนหนัง ความกล้าที่สุดในการคิดต่างจากขนบหนังที่ผ่านมา คือริดลีย์ตัดสินใจเปลี่ยนตัวละครนำอย่างริปลีย์ จากบทดั้งเดิมที่เป็นชายให้กลายเป็นหญิง ทำให้เอลเล็น ริปลีย์ กลายเป็นตัวแทนของหญิงแกร่งที่สุดในโลกภาพยนตร์ เป็นคาแรกเตอร์หญิงส่วนน้อยในหนังสยองขวัญที่ไม่ตกเป็นเหยื่อของฆาตกรโรคจิตหรือสัตว์ประหลาดในหนัง
หลังประสบความสำเร็จจาก "Alien" ริดลีย์ ก็กลายเป็นผู้กำกับงานชุก สร้างผลงานที่ได้ทั้งเงินและรางวัลมากมายทั้ง Blade Runner , Thelma and Louise , Gladiator จะมีผลงานที่ดูมีความสยองขวัญที่สุดก็คือ "Hannibal" (2001) ซึ่งได้รับเสียงตอบรับไม่ดีนัก ,ริดลีย์ ทิ้งช่วงห่างจาก "Alien" ไปถึง 33 ปีกว่าจะหวนคืนมาทำภาคก่อนหน้าของ Alien ใน Prometheus (2012) เป็นการกลับมาที่ได้รับเสียงฮือฮาจากแฟนๆ ที่รอคอยมานานมาก เพราะเอเลี่ยนถูกสานต่อจากผู้กำกับมากหน้าหลายตาในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา และออกไปทางหนังสยองขวัญเอาใจตลาด แต่เมื่อผู้ให้กำเนิดเอเลี่ยนตัวจริง กลับมาสานต่อตำนานและริดลีย์ ก็ทิ้งปริศนาไว้มากมาย ให้แฟนๆ กระหายรอปริศนาคลี่คลายใน "Alien: Covenant" (2017) แต่กลับกลายเป็นว่า Covenant เป็นผลงานที่แฟนๆ ผิดหวัง และส่อแววว่าตำนานเอเลี่ยนจากที่เคยวางไว้ยาวไกล น่าจะเป็นหมันอยู่แค่ภาคนี้
10. ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปล่า
ผู้กำกับผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาลของฮอลลีวู้ดและโลกภาพยนตร์ผู้นี้ ก็เริ่มต้นอาชีพด้วยหนังสยองขวัญเช่นกัน ด้วยหนังระดับตำนานอย่างไตรภาค Godfather และ Apocalypse Now ที่คว้ามา 2 ออสการ์ , ในวัยเด็กฟรานซิส ต้องทนทุกข์กับโรคโปลิโอ เมื่อรักษาได้หายขาด เขาก็รีบสมัครเข้าเรียน สาขาภาพยนตร์ในUCLA ทันที เมื่อจบออกมา ฟรานซิส ก็ทำหนังเรื่องแรก "Tonight for Sure" เป็นหนังคอมมีดี้ และเรื่องต่อมาก็คือ "Dementia 13" หนังสยองขวัญ ที่ฟรานซิสร่างบทเสร็จภายในคืนเดียว เป็นเรื่องราวของครอบครัวฆาตกร ที่ฟรานซิสได้แรงบันดาลใจมาจาก Psyco ของอัลเฟรด ฮิตช์ค็อก เขากำกับเองและปิดกล้องเรื่องนี้ได้ในเพียงแค่ 9 วัน ใช้งบไปเพียง 40,000 เหรียญ กลายเป็นหนังคัลต์คลาสสิกอีกเรืองหนึ่ง
หลังไปสร้างชือจากหนังมาเฟีย และหนังสงคราม ฟรานซิส กลับมาจับหนังสยองขวัญอีกครั้งใน "Bram Stoker’s Dracula" (1992) แต่แท้จริงแล้วในหนังหลาย ๆ เรื่องของฟรานซิสก็สอดแทรกอารมณ์สยองขวัญที่สังเกตเห็นได้ชัดอยู่ อย่างเช่นฉากหัวม้าบนเตียง และหลาย ๆ ฉากรุนแรงใน "Apocalypse Now"