วิเคราะห์ 5 เหตุผลที่ทำให้ "Bumblebee" เป็นหนังทรานส์ฟอร์เมอร์สที่ดีที่สุด
1. ผลงานที่กล้าแตกต่างในมือผู้กำกับที่ถูกคน
"Bumblebee" เป็นหนังภาคแยกของแฟรนไชส์ Transformers ที่แม้ยังคงได้ "สตีเว่น สปีลเบิร์ก" และ "ไมเคิล เบย์" กลับมารับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหาร แต่ตำแหน่งผู้กำกับก็ตกเป็นของ "ทราวิส ไนท์" ที่สร้างชื่อมาจากแอนิเมชั่นที่กวาดเสียงชื่นชมอย่างสูง Kubo and the Two Strings (2016)
โดยหนังภาคแยกนี้มีการเล่าเรื่องราวที่มีมากกว่าการตามไล่ล่าข้ามดวงดาวและชีวิตส่วนตัวของตัวละครมนุษย์ แต่โดดเด่นในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครทั้งหุ่นยนต์และมนุษย์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
2. ฉากแอคชั่นอันน่าตื่นตา
หนังมาพร้อมทุนสร้างราว $128 ล้าน ซึ่งก็ตรึงผู้ชมได้อย่างอยู่หมัด ตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องกับเหตุการณ์สงครามบนดาวไซเบอร์ทรอนที่กำลังเดือดระอุ พร้อมเปิดตัว ออพติมัส ไพร์ม, บัมเบิ้ลบีและสหายร่วมรบ กับกองทัพดีเซ็ปติคอนส์ ที่อลังการ ตลอดจนฉากการปะทะกันระหว่างบัมเบิ้ลบีและดีเซ็ปติคอนส์บนโลกที่มีรูปแบบที่แตกต่างไปจากฉากแอคชั่นของไมเคิล เบย์ ที่เน้นขายความอลังการ เพราะฉากแอคชั่นของหนังภาคนี้มาพร้อมระเบิดที่พอดิบพอดี ไม่มากจนล้น แต่เน้นการเข้าปะทะกันของตัวละครหุ่นยนต์เป็นหลัก รวมถึงการตัดต่อฉากหุ่นยนต์สู้กันที่ไม่ทำให้ชวนสับสนเหมือนในหนัง Transformers ภาคหลัง
นอกจากนี้ฉากรถตำรวจตามไล่ล่าบัมเบิ้ลบี, ชาร์ลี และ โมโม่ ไปตามถนนก็เป็นฉากแอคชั่นที่ดูสนุก จนอดลุ้นและยิ้มตามไม่ได้
3. บทภาพยนตร์ที่มีหัวใจ
"Bumblebee" มาพร้อมตัวละคร ชาร์ลี (เฮลีย์ สไตน์เฟลด์) สาวที่กำลังจะมีอายุครบ 18 ปี และจมอยู่กับความไม่มั่นใจ หลังจากพ่อแท้ๆเสียชีวิตไปอย่างกะทะหัน จนสร้างรอยแผลไว้ในใจของเธอ ซึ่งตัวหนังไม่เพียงมาพร้อมฉากแอคชั่นระหว่าง ชาร์ลี กับ บัมเบิ้ลบี แต่ยังพาผู้ชมไปพบความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ที่ต่างเยียวยาวกันและกัน ปกป้องกันและกัน และที่สำคัญคือการ "ก้าวผ่านวัย" ของตัวละครชาร์ลีกับการเติบโตและเข้มแข็งขึ้น หนังยังสะท้อนภาพประเด็น "ครอบครัว" ที่สุดท้ายแล้วก็ย่อมไม่ทิ้งกัน
ส่วน บัมเบิ้ลบี หลังจากถูกดีเซ็ปติคอนส์ทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส บีก็ได้สูญเสียบางส่วนไป ซึ่งก็เป็น ชาร์ลีที่คอยดูแล และทำให้บีกลับมาอยู่ในสภาพที่พร้อมยืดหยัดสู้อีกครั้ง
ทั้งหมดนี้ทำให้ "Bumblebee" เป็นหนังที่มีหัวใจมากที่สุดของแฟรนไชส์ Transformers และไม่แปลกใจที่บางฉากอาจจะทำให้ผู้ชมน้ำตาซึมไปกับมิตรภาพระหว่างเพื่อนต่างเผ่าพันธุ์คู่นี้
4. นักแสดงนำกับการแสดงอันน่าทึ่ง
หนังได้นักแสดงสาววัยรุ่น "เฮลีย์ สไตน์เฟลด์" มารับบท ชาร์ลี ตัวละครสำคัญของเรื่อง ซึ่งนี่คือหนึ่งในนักแสดงฝีมือเยี่ยมที่ฝากผลงานไว้มากมาย การันตีตั้งแต่ผลงานแจ้งเกิดอย่าง True Grit (2010) ที่ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด
ซึ่งฉากที่ตัวละครของเธอ ต้องแสดงซีนดราม่ากับบัมเบิ้ลบี จะเป็นฉากที่เซอร์ไพรส์ความรู้สึกของคุณแบบไม่ทันได้ตั้งตัวแน่นอน เสริมทัพด้วย "จอห์น ซีน่า" และ "จอร์จ เลนเดเบิร์ก จูเนียร์" ที่เข้ามาทำให้เรื่องราวมีสีสันมากขึ้น
5. ย้อนสู่ยุค 80
เรื่องราวเกิดขึ้นในในปี 1987 ทำให้หนังมีโทนแตกต่างไปจากหนังแฟรนไชส์ Transformers ที่ผ่านมา รวมถึงการที่ตัวละครเป็นวัยรุ่นที่ค่อนข้างเก็บตัว ทำให้เราจะเห็นตัวละครชาร์ลีที่ฟังเพลงในหลายๆ ฉาก รวมถึงการใช้เพลงสื่อสารของบัมเบิ้ลบี ซึ่งเพลงที่ปรากฏในเรื่องก็ต่างเป็นเพลงดังในอดีตสุดคุ้นหูทั้งสิ้น อาทิ เพลงจาก The Smiths และหนัง The Breakfast Club รวมถึงอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ (เช่น walkman)
เตรียมระเบิดความมันส์ครั้งใหม่กับ Bumblebee พร้อมฉาย 20 ธันวาคม ในโรงภาพยนตร์เอส เอฟ
ตัวอย่างภาพยนตร์