5 เรื่องเซอร์ไพรส์ที่คุณจะได้รับรู้จากหนัง Whitney
หนังชีวประวัติของดิว่าหญิงระดับโลก วิทนีย์ ฮุสตัน ที่ลงโรงฉายในบ้านเราวันที่ 1 พฤศจิกายน นี้เฉพาะในเครือ SF หนังเวอร์ชั่นนี้เป็นผลงานของผู้กำกับ เควิน แมคโดนัลด์ ที่เหมารวมหน้าที่เขียนบทภาพยนตร์ด้วย ผู้กำกับเควิน เคยผ่านงานกำกับหนังที่เกี่ยวกับชีวประวัติมาแล้วอย่าง The Last King of Scotland (2006) ที่เล่าเรื่องราวของอีดี้ อามิน แม้ว่าจะมีภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวของวิทนีย์ ฮุสตัน ออกมาบ้าง หลังจากที่เธอเสียชีวิตไปแล้ว แต่ในเวอร์ชั่นนี้จะให้ข้อเท็จจริงเบื้องลึกได้อย่างละเอียด เพราะทีมงานได้มีโอกาสสัมภาษณ์ทายาท และสมาชิกในครอบครัว บรรดาเพื่อนสนิท และทีมงานของวิทนีย์ ทำให้เวอร์ชั่นนี้ได้ข้อเท็จจริงที่ลึกและถูกต้องกว่าเวอร์ชั่นอื่นๆ หนังเลือกที่จะเลี่ยงเล่าเหตุสลดจากการเสียชีวิตของเธอในปี 2012 ไม่พูดถึงปัญหาการใช้ยาเสพติดของเธอ และปัญหาชีวิตคู่กับบ็อบบี้ บราวน์ แต่จะนำเสนอข้อมูลแปลกใหม่ที่ได้จากผู้ใกล้ชิดจริงๆ ซึ่งแม้แต่แฟนๆ ตัวยงของวิทนีย์ ก็ยังต้องเซอร์ไพรส์กับข้อมูลเหล่านี้
1. เพลงของเธอทำให้ประวัติศาสตร์ต้องจารึก
ปี 1992 วิทนีย์ ก้าวจากวงการเพลงเข้าสู่ฮอลลีวู้ดด้วยการรับบทนำในหนัง The Bodyguard เธอรับบทที่ใกล้เคียงกับตัวเอง ราเชล มาร์รอน ศิลปินหญิงชื่อก้องโลก มีเควิน คอสต์เนอร์ รับบทบอดี้การ์ดคู่ใจ หนังประสบความสำเร็จอย่างสูง
หนังทำรายได้สูงสุดจากการฉายทั่วโลกเป็นอันดับที่ 2 ในปีนั้น ทำให้เธอก้าวจากตำแหน่งศิลปินหญิงที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในวันนั้น มาควบตำแหน่งดาราฮอลลีวู้ดแถวหน้าทันที และเพลง "I Will Always Love You"เพลงธีมจากหนัง ก็กลายเป็นเพลงฮิตที่สุด สร้างสถิติด้วยการเป็นเพลงจากศิลปินหญิงที่ทำยอดขายสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ทำให้ "I Will Always Love You" กลายเป็นเพลงฮิตประจำตัวเธอไปอีกเพลง แม้กระทั่งเจ้าของเพลงในเวอร์ชั่นดั้งเดิมอย่าง ดอลลี่ พาร์ตัน ยังต้องเซอร์ไพรส์เมื่อได้ฟังเวอร์ชั่นของ วิทนีย์ ฮุสตัน
ด้วยความสำเร็จในระดับนี้ทำให้วิทนีย์ กลายเป็นที่สนใจของสื่อในฐานะของศิลปินหญิงผิวสีที่ได้รับบทนำในหนังที่ดาราหญิงแถวหน้าต่างหมายปองและหนังยังประสบความสำเร็จเกินคาดอีกด้วย ในหนัง "Whitney" จะขยายความจากความ สำเร็จอย่างสูงของหนัง The Bodyguard ที่ส่งผลกระทบมากมายต่อสังคมในวันนั้น ตัวอย่างเช่น เพลง "I Will Always Love You" ก็ทำให้คนเข้าคุกได้ เหตุเกิดเมื่อเดือนตุลาคม 1992 สาววัย 20 ใน มิดเดิลส์เบิร์ก ต้องโดนคุมขังในคุกถึง 7 วัน เหตุจากเพื่อนบ้างแจ้งตำรวจจับเธอ เพราะทนไม่ได้ที่สาวคนนี้คลั่งไคล้เพลง "I Will Always Love You" เกินเหตุ เธอเปิดเพลงนี้ทั้งวันและทุกวันติดต่อกันด้วยระดับเสียงดังสุด และเพื่อนบ้านที่แจ้งจับเธอก็มาโผล่หน้าในหนัง และเล่าเหตุการณ์นี้ให้เราฟังด้วย เธอเผยว่า "มันเป็นประสบการณ์ที่ทรมานทางด้านจิตใจอย่างมาก"
2. วิทนีย์ ไม่ชอบบรรดาเพลงฮิตติดชาร์ต
แม้ว่าในยุค 90s วิทนีย์ จะเป็นศิลปินหญิงยอดนิยมมีเพลงฮิตติดชาร์ตเยอะมาก แต่เธอก็ไม่ครองอันดับ 1 อยู่เคนเดียว ยังมีศิลปินอีกมากที่ต่างปล่อยเพลงออกมาแข่งขันชิงอันดับอยู่ทุกสัปดาห์ แต่กระนั้นด้วยชื่อของวิทนีย์ ฮุสตัน ก็เป็นคู่แข่งที่น่าเกรงขามสำหรับศิลปินหญิงรายอื่น ๆ อยู่เสมอไป เมื่อใดที่เธอปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ออกมานั่นหมายถึงว่าโอกาสเป็นเพลงฮิตขึ้นอันดับ 1 ค่อนข้างสูง ในหนัง "Whitney"มีฟุตเตจบางส่วนที่บันทึกไว้ตอนที่เธออยู่ในช่วงสูงสุดของชีวิต เป็นเทปที่แอบ
ถ่ายตอนที่เธอไม่รู้ตัว เป็นภาพวิทนีย์กำลังเมาท์มอยกับซิสซี ฮุสตันแม่ของเธอ ว่าเธอเองก็ไม่ได้ปลื้มกับบรรดาเพลงที่ติดชาร์ตนักหรอกนะ ในระหว่างนั้นวิทนีย์ เดินไปเดินมาพร้อมกับถาดแครกเกอร์ รำพึงกับแม่ถึงบรรดาเพลงฮิตติดชาร์ต "คนส่วนใหญ่คิดว่าการทำเพลงขึ้นชาร์ตนั่นมันง่าย เอาจริง ๆ มันไม่ได้ง่ายหรอกนะ" "แล้วดูอย่างพอลลา อับดุลสิ แม่นี่ร้องเพลงผิดคีย์ตลอดนะ" จบประโยคนี้ แม่ลูกก็ยังเมาท์มอยออกรสมีลากไปพาดพิงถึง เจเน็ต แจ๊คสัน อีกด้วย ใครโดนอีกบ้างค่อยไปดูกันในหนังนะครับ
3. รสนิยมทางเพศของ วิทนีย์
เมื่อเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จ เรื่องการตกเป็นข่าวซุบซิบย่อมเป็นของคู่กัน เช่นกันกับวิธนีย์ที่ข่าวของเธอนั่นเป็นที่สนใจและขายดี มีเรื่องราวของเธอปรากฏบนหนังสือบันเทิงแทบจะทุกเล่มทุกวัน และเรื่องที่กลายเป็นเป้าสนใจจากนักข่าว บันเทิงมากสุดคือ ข้อสงสัยว่าวิทนีย์เป็น "เลสเบี้ยน" กับ โรบิน ครอว์ฟอร์ด ผู้ช่วยสาวของเธอเอง ซึ่งในวันนั้นทั้งคู่อาศัยอยู่ด้วยกันในแฟลตที่ นอร์ธ เจอร์ซีย์ เมื่อมีนักข่าวสอบถามวิทนีย์ เกี่ยวกับข่าวนี้ เธอก็ยักไหล่ใส่ด้วยทีท่าไม่แยแสกับข่าวนี้ "ก็ แค่มีคนเห็นฉันอยู่กับโรบิน แล้วเขาก็สรุปกันไปเองต่าง ๆ นานา" วิทนีย์ ยังให้สัมภาษณ์กับหนังสือไทม์เกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน "ฉันจะเป็นเกย์ ฉันจะชอบหมา มันธุระของใครไม่ทราบ ปล่อยคนเขาพูดกันไปเหอะ" "ถ้าพูดถึงการเป็นเกย์ สิ่งเดียวที่ฉันรู้สึกคือ ฉันแฮปปี้กะมัน ก็แค่นั้น" แม้ในบทสัมภาษณ์วิทนีย์ จะดูไม่ให้ความสำคัญกับข่าวลือนี้ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ออกจดหมายถึงสื่อกว่า 40 ฉบับที่ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้
เนื่องจากเป็นประเด็นที่น่าสนใจ ในหนัง "Whitney" ก็ลงลึกในประเด็นนี้เช่นกันเพื่อหาคำตอบ ทีมงานจึงไปสัมภาษณ์สมาชิกในครอบครัวและเพื่อนสนิทเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศของวิทนีย์ ฮุสตัน ซึ่งทีมงานก็ติดต่อไปหาโรบิน ครอว์ฟอร์ด ด้วยเช่นกัน แต่เธอปฏิเสธไม่ให้สัมภาษณ์ แต่เพื่อนหลาย ๆ คนก็ได้ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับข้อสงสัยว่าวิทนีย์เป็นเลสเบี้ยนหรือไม่ บางคนก็บอกว่าที่เธอแต่งงานกับบ็อบบี้ บราวน์ ก็เพื่อยุติข่าวลือพวกนี้ซะ , ริคกี้ ไมเนอร์ มิวสิคไดเรคเตอร์ที่ทำงานกับวิทนีย์มานาน กล่าวว่า "วิทนีย์ก็มีสถานะเหมือนของเหลวนะ ไหลไปได้เรื่อย" ส่วน เอลลิน ลาวาร์ สไตลิสต์ส่วนตัวของเธอ บอกว่าการแต่งงานกับบ็อบบี้ บราวน์ เป็นสิ่งที่เธอ"คาดหวัง" มาตลอด แต่อย่างไรก็ตาม โรบิน ครอว์ฟอร์ด ก็เปรียบเสมือนพื้นที่ที่เธอรู้สึกว่าปลอดภัย ,แกรี่ กาลันด์ ฮุสตัน พี่ชายต่างแม่ของวิทนีย์ เองก็ให้ทรรศนะเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า "วิทนีย์เธอแทบไม่มีใครเลย" แล้วก็ยังเอ่ยถึงโรบินว่า "นังนี่มันตัวร้ายจอมโหด ผมไม่อย่างให้น้องผมไปยุ่งเกี่ยวกับนังนี่เลย"
ทีมงานหนัง "Whitney"ยังได้ข้อมูลมาอีกว่า สาเหตุที่ทำให้วิทนีย์หันไปเสพยาอย่างหนัก มาจากการมีปากเสียงกับโรบิน ครอว์ฟอร์ด เพราะโรบินยื่นคำขาดให้วิทนีย์เลือกว่าจะอยู่กับบ็อบบี้ บราวน์ หรือว่าเธอ ซึ่งวิทนีย์ก็ย้อนกลับไปว่า "ถ้าจะลา ออกฉันก็ยินดีนะ"
4. วันที่วิทนีย์ ร้องเพลงชาติในงานเปิดซูเปอร์โบลว์ (1991) เธอไม่เคยซ้อมมาก่อนเลย
ถ้าถามแฟนๆ ของวิทนีย์ว่าชอบการแสดงสดเพลงไหนของวิทนีย์มากที่สุด หลาย ๆ คนจะตอบว่าประทับใจสุดก็คือตอนที่วิทนีย์ไปร้อง Star Spangled Banner เพลงชาติอเมริกาในพิธีเปิดการแข่งขันซูเปอร์โบลว์ปี 1991 ที่สนามแทมปา
ซึ่งในช่วงนั้นอเมริกาเพิ่งจะส่งทหารเข้าร่วมในสงครามอ่าวด้วยเช่นกัน วิทนีย์ได้ให้ความเห็นหลังร้องเพลงนี้ว่า "ประเทศเราต้องการความหวังอย่างมากที่จะได้เห็นทหารของเรากลับบ้าน แล้วฉันก็ใส่ความรู้สึกเหล่านี้เข้าไปในระหว่างที่ร้อง"
ในหนัง "Whitney" ทีมงานได้ไปพูดคุยกับริคกี้ ไมเนอร์ มิวสิค ไดเรคเตอร์ ผู้อยู่เบื้องหลังเพลงนี้ ริคกี้ เล่าว่าวิทนีย์ร้องเพลงนี้โดยยึดแรงบันดาลใจจากมาร์วิน เกย์ ที่ร้องเพลงชาติไว้ในปี 1983 แล้วผมก็เอาเวอร์ชั่นนั้นมาปรับเปลี่ยนนิดหน่อย เปลี่ยนจังหวะจาก วอลตซ์ ให้เป็นคลาสสิก 4/4 ด้วยจังหวะนี้ทำให้เธอมีช่องว่างได้หายใจมากขึ้น ส่วนผมก็ได้ลองอะไรใหม่ๆ ด้วย แล้วที่สำคัญ การร้องของเธอที่ประทับใจหลาย ๆ คนนั้น เป็นการร้องสดครั้งแรกเลย เธอไม่เคยซ้อมเพลงนี้มาก่อน
5. ทีมงานเจอเรื่องราวปัญหาใหม่ในอดีตของเธอ
ในปี 2016 มีสารคดีเกี่ยวกับวิธนีย์ ฮุสตัน ออกมา 1 เรื่องในชื่อ "Whitney: Can I Be Me" ซึ่งเนื้อหาบางส่วนในเวอร์ชั่นนี้ก็คล้ายคลึงกัน แต่สำหรับ "Whitney"ทีมงานค่อนข้างได้เปรียบจากการที่ได้สัมภาษณ์พูดคุยกับผู้คนวงในของวิทนีย์ ทั้งเพื่อนสนิทและญาติพี่น้อง และหนังเวอร์ชั่นนี้ก็ได้รับการพิจารณาเห็นชอบจากบรรดาทายาทของเธอเอง ข้อมูลหนึ่งได้รับการบอกเล่าจากแมรี่ โจนส์ ผู้ช่วยของวิทนีย์ ทำให้เราทราบว่าในวัยเด็กของวิทนีย์นั้นเธอโดนประทุษร้ายบ่อยครั้งจาก ดีดี วอร์วิค ญาติของเธอเอง และพี่ชายของเธอ แกรี่ กาลันด์ ฮุสตัน อดีตนักบาสเก็ตบอล NBA ก็โดนดีดี วอร์วิค ทำร้ายเช่นกัน
ย้อนอดีตไปกับหนัง "Whitney" ได้แล้ววันนี้ ไปร่วมรับรู้เรื่องราวแปลกใหม่ที่เราไม่เคยทราบจาก วิธนีย์ ฮุสตัน ศิลปินที่คนทั่วโลกรักและฝากบทเพลงประทับใจมากมายไว้บนโลกและในใจเรา
ตัวอย่างภาพยนตร์