นอกจากจะสำรวจความบ้าคลั่งของมนุษย์แล้ว The First Purge ยังเป็นเรื่องของการวิพากษ์และสะท้อนภาพสังคมของคนผิวสีอีกด้วย

Movie News14 สิงหาคม 2561

        เป็นเวลาห้าปีแล้ว นับจากที่โลกได้พบกับแนวคิดที่กระตุ้นความรู้สึกเรื่องการล้างบาป ซึ่งช่วงเวลาหนึ่งคืนในทุกปี อาชญากรรมทุกอย่าง รวมทั้งการฆ่าคน จะกลายเป็นสิ่งถูกกฎหมาย  ภาพยนตร์เขย่าขวัญที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก เรื่อง The Purge ทำให้เกิดหนังแฟรนไชส์ที่สำรวจความบ้าคลั่งที่ค่อยๆ ซึมเข้ามาในชีวิตประจำวันของเรา The Purge Anarchy ตามออกมาในปี 2014 และ The Purge: Election Year ออกฉายในปีเลือกตั้ง 2016 ของอเมริกา แต่ละเรื่องดูเหมือนเป็นสิ่งที่บอกเป็นลาง ว่าคนเราจะอันตรายและโหดร้ายได้มากขนาดไหน



       ในภาคก่อนๆ  คนดูช็อกกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในกาลข้างหน้าที่ผู้กำกับและเขียนบทเจมส์ เดอโมนาโคทำให้มีชีวิตขึ้นมา  เขาได้แรงบันดาลใจจากงานที่มองการณ์ไกล เช่นหนังสือเรื่อง The Lottery ของเชอร์ลีย์ แจ็คสัน และ The Most Dangerous Game ของริชาร์ด คอนเนลล์ รวมทั้งภาพยนตร์เรื่องดังอย่าง A Clockwork Orange และ American Psycho  สำหรับเดอโมนาโค นักการเมืองที่ต้องการ “ขายความกลัว” เป็นแรงบันดาลใจอย่างมากของโลกที่มืดมิดนี้



          แต่ใน The First Purge ผู้กำกับ "เจอราร์ด แม็คเมอร์เรย์" ได้เล่าว่าสมมุติฐานของเรื่องราวนี้ สื่อความหมายและความรู้สึกถึงเขาในหลายด้าน  หนังแนวนี้ทำให้เราได้สู้กับปีศาจในโลกของความจริง อย่างที่มันเป็นสำหรับหลายๆ คน "ภาพยนตร์แนวสยองขวัญ หยิบเอาเรื่องราวที่ดูเหมือนน่ากลัวเกินไปในชีวิตจริง และเปลี่ยนความนึกคิดนั้นให้กลายเป็นปีศาจในจินตนาการ เป็นสัตว์ประหลาด  ซึ่งเป็นอุปมาอุปไมยว่าเราสามารถเผชิญหน้าและอาจพิชิตมันได้ หนังแฟรนไชส์เรื่อง The Purge ยังคงอยู่เพราะมันมีบางอย่างที่พูดถึงโลกที่เราอยู่ตอนนี้  ครั้งนี้เราจะพาคุณกลับไปดูว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นได้ยังไง  การทดลองบนเกาะแห่งหนึ่งกลายมาเป็นเหตุการณ์ที่เกินจะจินตนาการได้ยังไง"



          ในบรรดาปีศาจ ปีศาจที่เลวร้ายที่สุดและน่าสะพรึงกลัวที่สุดก็คือมนุษย์เรานี่เอง "เจมส์ เดอโมนาโค" ที่รับหน้าที่เขียนบทได้สร้างสรรค์ภาพยนตร์ชุดนี้ขึ้นในฐานะเรื่องราวเปรียบเทียบ และตั้งคำถามกับคนดู "ถ้าเราลงเอยด้วยการต้องอยู่ในโลกแบบนี้ล่ะ, ถ้ารัฐบาลเราพยายามบังคับให้เราต้องห้ำหั่นกันเอง และทำลายสิ่งที่เปราะบางที่สุดในสังคมล่ะ, ฉันจะเข้าร่วมดีไหม หรือฉันจะสู้กับพวกที่ควบคุมเรื่องนี้ซะเลย" คำตอบของแม็คเมอร์เรย์นั้นชัดเจน : เรากำลังสู้กับกลุ่มคนที่กำลังมีอำนาจควบคุม



          เดอโมนาโคได้สะท้อนภาพสังคมของคนผิวสีออกมาใน The First Purge  และแม็คเมอร์เรย์ก็ทำหน้าที่ถ่ายทอดออกมาได้เหมือนมากกับสภาพแวดล้อมที่เขาเติบโตมาในเซเวนธ์วอร์ด เมืองนิวออร์ลีนส์, รัฐหลุยเซียน่า พ่อของแม็คเมอร์เรย์เลี้ยงดูเขามาโดยสอนให้เขาปกป้องผู้อื่นเสมอ และเป็นปากเสียงเรื่องความยุติธรรม  เขาชอบมากที่ตัวละครที่เขามอบความไว้วางใจให้ จะไม่ยอมถอยเป็นอันขาด นอกจากนี้เขายังความต้องการจะบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับผู้คนที่ถูกจัดให้เป็นผู้เล่นสมทบมายาวนาน  จากความสำเร็จอย่างมากของหนังที่ถ่ายทอดแง่มุมหลากหลายในเรื่องราวชีวิตของคนผิวดำ ตั้งแต่ Get Out และ Moonlight จนถึง Straight Outta Compton และ Black Panther  ทำให้คนดูที่ถูกมองข้ามและไม่ได้รับความสนใจ ต้องการได้ยินเสียงของพวกเขา และได้ดูเรื่องราวของพวกเขาบนจอ ในภาพยนตร์ทุกแนว

เตรียมย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของคืนล้างบาป ที่อาชญากรรมทุกประเภทสามารถกระทำได้ใน 12 ชั่วโมง ใน “The First Purge ปฐมบทคืนอำมหิต” 16 สิงหาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์

 

ตัวอย่างภาพยนตร์