ย้อนรอย 20 เรื่องน่ารู้ของ Jurassic World ก่อนดู Jurassic World: Fallen Kingdom
Jurassic World: Fallen Kingdom เป็นการกลับมาของตัวละครและไดโนเสาร์ตัวโปรดของเราอีกครั้ง พร้อมกับไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ๆ ซึ่งคราวนี้ภัยที่ร้ายที่สุดอาจจะไม่ใช่จากไดโนเสาร์อีกต่อไป แต่ก่อนจะได้ไปชมภาคต่อ วันนี้จะพาไปอุ่นเครื่องด้วยการย้อนรอย 20 เรื่องน่ารู้ของ Jurassic World กันสักหน่อย
1. Jurassic World ถือเป็นครั้งแรกที่สวนไดโนเสาร์ พร้อมเปิดในฐานะสวนสนุก ให้คนทั่วไปเข้าชมได้อย่างเต็มรูปแบบ โดยใน Jurassic Park ภาคแรกนั้น สวนกำลังอยู่ในระหว่างก่อสร้าง ส่วนภาค 2 และ 3 สวนก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แถมมีไดโนเสาร์อยู่แค่ไม่กี่ตัวอีกต่างหาก
2. หากยังจำกันได้เหตุการณ์ใน Jurassic World เกิดขึ้นต่อจากวิกฤตปิดตายเกาะใน Jurassic Park ภาคแรก โดยห่างกันเป็นเวลา 22 ปี ทั้งเวลาในหนัง และเวลาฉายจริงด้วย
3. เหตุการณ์ใน Jurassic World และ Jurassic Park เกิดขึ้นบนเกาะอิสลา นูบลาร์ ส่วน The Lost World: Jurassic Park และ Jurassic Park III เกิดขึ้นบนเกาะอิสลา ซอลนา อันเป็นสถานที่ตั้งไซต์ B ของบริษัท
4. ฉากที่แขวนปลาฉลามตัวเขื่อง เพื่อเป็นเหยื่อล่อให้โมซาซอรัส กระโจนจากน้ำ ขึ้นมางับลงคอนั้น ได้แรงบันดาลใจโดยตรงมาจาก คมเขี้ยวฉลามโหด ในภาพยนตร์เรื่อง Jaws
5. การที่ผู้บริหารสาว แคลร์ (ไบรซ์ ดัลลัส โฮเวิร์ด) สวมชุดสีขาวทั้งตัวนั้น เพื่อแสดงการคารวะต่อ เซอร์ ริชาร์ด แอทเทนเบอเรอห์ ผู้รับบท จอห์น แฮมมอนด์ ที่มาในชุดขาวสะอาด อันเป็นเอกลักษณ์
6. Jurassic Park เป็นหนึ่งในหนังเรื่องโปรดของ คริส แพรตต์ จึงไม่น่าแปลกใจ หากเขาจะยินดีอย่างยิ่ง ที่จะได้มีส่วนรวมในการเปิดสวนไดโนเสาร์นี้อีกครั้ง
7. ไดโลโฟซอรัส ไอ้ตัวแสบพ่นพิษได้ใน Jurassic Park กลับมาปรากฏตัวอีกครั้งในภาคล่าสุดนี้ ในรูปลักษณ์ของภาพโฮโลแกรมที่ศูนย์การเรียนรู้ และมันยังคงงัดท่ากางแผงคอประจำตัว มาใช้ข่มขวัญเช่นเคย
8. สตีเวน สปีลเบิร์ก ที่เห็นพ้องกับผู้กำกับ คอลิน เทรเวอร์โรว ว่าใน Jurassic World นี้ อยากหาหนทางให้ผู้คนสามารถเข้าใกล้ไดโนเสาร์ในระยะประชิด บนรถที่ขับเคลื่อนได้อย่างอิสระ รับประสบการณ์ท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ จึงเกิดเป็นรถสุดไฮเทคทรงกลม ในชื่อ ไจโรสโคป นั่นเอง
9. สไปโนซอรัส ที่เคยผงาดเป็นพี่เบิ้มในภาค 3 กลับมาอีกครั้ง ใน Jurassic World แต่ในสภาพหมดฤทธิ์ เหลือแค่โครงกระดูก ที่จัดแสดงอยู่ในโซน ซิตี้วอล์ค เพียงเท่านั้น
10. อินโดไมนัสเร็กซ์ เป็นภาษาละติน แปลว่า ราชาผู้ดุร้าย ที่ถูกสร้างขึ้นจากกระบวนการพันธุวิศวกรรม เกิดเป็นไดโนเสาร์ตัวมหึมา ที่กลายเป็นนักล่าสุดโหดของธรรมชาติ ไม่ใช่เพื่อกิน แต่เอามันส์ล้วนๆ!!
11. คอลิน เทรเวอร์โรว นอกจากจะเป็นผู้กำกับแล้ว ยังให้เสียง มิสเตอร์ดีเอ็นเอ ตัวการ์ตูนแอนิเมชั่นผู้บรรยายความรู้ในหนังอีกด้วย
12. แบรด เบิร์ด ผู้กำกับ Tomorrowland ก็ขอมาแจมในหนังด้วย โดยเป็นผู้ให้เสียงประกาศบนรถไฟฟ้าโมโนเรล ที่นำเข้าสู่สวนไดโนเสาร์
13. มอเตอร์ไซด์ที่ คริส แพรตต์ ขี่เคียงคู่แก๊งแรปเตอร์ในหนัง ถูกสร้างขึ้นโดยบริษัท Triumph หลังแสดงอาการอยากได้ออกนอกหน้า เขาก็ได้มันเป็นของขวัญกลับบ้านไปเลย หลังจากถ่ายจบ
14. จอมโหด ทีเร็กซ์ ใน Jurassic World เป็นตัวเดียวกับที่เคยแผลงฤทธิ์ใน Jurassic Park หากลองสังเกตดู จะพบว่ามันยังมีรอยแผลเป็นบริเวณคอ ที่เกิดจากกรงเล็บของแรปเตอร์อยู่ให้เห็น
15. ทีเร็กซ์ตัวเก่า ยังไงก็ยังมีนิสัยเก่าๆ มันยังคงโปรดปรานแพะสดๆ และหลงใหลการวิ่งตามแสงไฟเหมือนเดิม
16. รถจิ๊ปที่สองพี่น้อง แซ็ค-เกรย์ไปซ่อมจนใช้การได้ คือรถเบอร์ 29 เป็นรถคันเดียวกับที่ จอห์น แฮมมอนน์ พาคณะตรวจสอบ เข้าชม Jurassic Park ภาคแรก
17. ห้องศูนย์กลางควบคุมสุดล้ำ ใน Jurassic World นั้น อิงมาจากสวนสนุก Universal Studios ที่ฟลอริดา และห้องปฏิบัติการขององค์การอวกาศ Nasa
18. ถึงแม้จะใช้เทคนิคซีจี สร้างไดโนเสาร์เกือบตลอดทั้งเรื่อง แต่ในฉากที่ โอเวน เข้าปลอบประโลมแรปเตอร์ ที่ถูกขังอยู่ในคอกพร้อมตะกร้อเหล็กครอบปากนั้น มีการสร้างหุ่นอนิมาโทรนิกส่วนหัว ขึ้นมาใช้ถ่ายทำ ซึ่งมันสามารถขยับ กะพริบตา และแยกเขี้ยวได้จริงๆ!
19. ขณะที่ถ่ายทำ Jurassic World สตีเวน สปีลเบิร์ก ใช้ชื่อปลอมของหนังว่า Ebb Tide และไม่มีใครรู้เหตุผลที่เขาเลือกชื่อนี้ สงสัยคงต้องรอพ่อมดฮอลลีวูดมาตอบเอง
20. แต่เดิม Jurassic World จะใช้ชื่อว่า Jurassic Park: Extinction
Jurassic World: Fallen Kingdom ได้ผู้กำกับเดิมใน Jurassic World ภาคแรกอย่าง โคลิน เทรวอร์โรว์ (Colin Trevorrow) มารับหน้าที่ในฐานะโปรดิวเซอร์และผู้เขียนบท พร้อมการกลับมาของบรรดานักแสดงทีมเดิมอย่างคับคั่ง ตั้งแต่ คริส แพรตต์ (Chris Pratt), ไบรซ์ ดัลลัส โฮเวิร์ด (Bryce Dallas Howard), บี.ดี. หว่อง (B.D Wong), เจฟฟ์ โกลด์บลัม (Jeff Goldblum), ราฟ สปอลล์ (Rafe Spall) โทบี้ โจนส์ (Toby Jones) เท็ด เลวีน (Ted Levine) และ เจมส์ ครอมเวลล์ (James Cromwell) หนังฉาย 7 มิถุนายนนี้ในโรงภาพยนตร์
ตัวอย่างภาพยนตร์