ทำไม อ้าย เว่ย เว่ย ถึงเลือกตีแผ่ ความเป็นมนุษย์ของผู้ลี้ภัยใน Human Flow
"วิกฤตนี้คือวิกฤตของเรา" ถ้าคุณและครอบครัวต้องทิ้งทุกอย่างกะทันหัน จำเป็นต้องจากบ้านที่กลายเป็นซากปรักหักพังจากสงคราม แบกความสิ้นหวังอยู่เต็มอก เงินเก็บทั้งชีวิตของคุณถูกใช้ไปกับการเดินทางยาวเป็นอาทิตย์ๆ ผ่านภูเขา ทะเลทราย แม้กระทั่งอาจต้องลงแพยางไปเผชิญชะตากรรมกลางมหาสมุทร หรือไม่คุณก็รออยู่เฉยๆ จนกระทั่งสถาการณ์ตึงเครียด เดินทางไปไหนไม่ได้เพราะชายแดนถูกปิด ถึงแม้ว่าคุณจะหนีจากความวิบัติเหล่านั้นพ้นแต่คุณกลับพบว่าตัวเองต้องมาเป็นผู้อพยพในเมืองที่คุณไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องมาเยือน บนนถนนเส้นใหม่ที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่อย่างไรก็ตามคุณยังต้องขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณพื้นฐานที่สุดของมนุษย์คือต้องเอาตัวรอดให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
นี่คือเหตุผลว่าทำไมศิลปินอย่าง อ้าย เว่ย เว่ย ถึงเลือกตีแผ่ความเป็นมนุษย์ของผู้ลี้ภัย ในภารกิจเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่พวกเราล้วนต้องการ ความปลอดภัย, ที่พักอาศัย, ความสงบสุข และโอกาสที่ให้ได้เป็นตัวของตัวเอง ในภาพยนตร์สุดทรงพลังเรื่องใหม่เขา Human Flow อ้ายขอเป็นตัวแทนกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนนอกกฏหมาย เพื่อถ่ายทอดความเหลื่อมล้ำและความอยุติธรรมที่พวกเขาต้องเผชิญ เพื่อยับยั้งคลื่นความกลัวที่ปกคลุมทั่วโลกด้วยความกล้าหาญที่แท้จริงของคนกลุ่มนี้ ตลอดอาชีพของอ้าย เว่ย เว่ย เขาต่อต้านการแบ่งแยกทุกรูปแบบ เขาสู้เพื่อศิลปะและการเมือง และ Human Flow คือข้อพิสูจน์อีกครั้ง ว่าเขาสามารถขยายขอบเขตของคำว่าศิลปะเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างในสังคม ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เขาพยายามทำในโปรเจคต์นี้
อ้ายเคยกล่าวไว้ว่าวิกฤตที่รอเราอยู่ไม่ใช่แค่การเพิ่มจำนวนของผู้ลี้ภัยไร้ที่ไปเท่านั้น แต่รวมถึงการที่คนเราหันหน้าหนีในเวลาที่มีคนขอความช่วยเหลือ เขาเลยเริ่มการเดินทางของตัวเอง การเดินทางที่เรียบง่ายแต่มีเป้าหมายครั้งสำคัญ เขาใช้ชีวิตในแต่ละวันเยี่ยงผู้อพยพทั่วทุกมุมโลก ผลออกมาคือประสบการณ์ภาพเคลื่อนไหวสเกลยักษ์ที่ให้ความรู้สึกสุดลึกซึ้ง มันคือส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างบทกวีและข้อเท็จจริง เสียงหัวเราะเจือเคราะห์กรรม ความเข้มเข้นที่อ่อนไหว ทั่วทั้ง 23 ประเทศทั่วโลก อ้ายสร้างโลกที่กว้างใหญ่ที่พร้อมให้แต่ละคนเข้าไปสำรวจ มันทำให้ผู้ชมได้เข้าใจว่ามันรู้สึกอย่างไรที่ต้องใช้ชีวิตเหมือนมันอยู่ในสภาพที่เปราะบางที่สุด
อ้ายกล่าว "ในฐานะศิลปิน ผมเชื่อในความเป็นมนุษย์มาตลอดและผมมองว่าวิกฤตนี้เป็นวิกฤตของผมด้วยเช่นกัน ผมเห็นคนเหล่านั้นขึ้นเรือมาเหมือนครอบครัวของผม พวกเขาอาจเป็นลูกหลานผม เป็นพ่อแม่ เป็นพี่ชายก็ได้ ผมไม่คิดว่าผมต่างจากพวกเขาตรงไหน เราอาจจะพูดคนละภาษา มีความเชื่อต่างกัน แต่ผมเข้าใจพวกเขา พวกเขาไม่ชอบอากาศหนาว ไม่ชอบยืนตากฝน ไม่ชอบปล่อยให้ท้องหิว เหมือนกับผม และพวกเขาต้องการความปลอดภัยเหมือนกับที่ผมต้องการเช่นกัน"
เขากล่าวต่อ "ในฐานะมนุษย์ ผมเชื่อว่าทุกวิกฤตและความยากลำบากที่เกิดขึ้นกับมนุษย์คนอื่นมันควรจะรู้สึกเหมือนเกิดขึ้นกับตัวคุณเองโดยตรง ถ้าคุณไม่เชื่อใจกันและกัน แปลว่าเราเจอกับปัญหาใหญ่แล้ว เพราะมันหมายถึงเรากำลังเผชิญกับกำแพงและการแบ่งแยก นักการเมืองจูงจมูกเราไปในทางที่ผิดซึ่งมันทำให้อนาคตของพวกเราตรงดิ่งสู่ความมืดมน"
ยิ่งไปกว่านั้น นักทำหนังกว่า 200 คนทั่วโลกเข้าร่วมโปรเจคต์ Human Flow ทั้งหมดช่วยกันเปลี่ยนงานโปรดัคชั่นขนาดมหึมาให้เป็นการสรรเสริญความดีของมนุษย์ และปฏิญาณเพื่อปกป้องคนที่มีความฝัน ความรัก ความอิสระ ที่ถูกทำลายจากการกดขี่ สงคราม และการถูกทอดทิ้ง
ร่วมพิสูจน์ผลงานภาพยนตร์สารคดีเรื่องเยี่ยม "Human Flow" 21 ธันวาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
ตัวอย่างซับไทย