ดูแล้วค่อยมาอ่าน ตรงไหนจริง ตรงไหนแต่งใน Only The Brave
อย่างที่รู้กันว่าภาพยนตร์ Only The Brave ดัดแปลงมาจากเหตุการณ์จริงของภัยพิบัติไฟป่ายาร์เนลที่คร่าชีวิตนักผจญเพลิงทีมฮอตชอตไปถึง 19 นาย ทีมงานสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อสดุดีความกล้าหาญและเสียสละของเหล่าวีรชนทั้ง 19 นายนี้ แต่ในฐานะที่เป็นหนังฮอลลีวู้ดย่อมต้องเน้นความบันเทิง ทำให้มีการเติมเสริมแต่งเรื่องราวเพื่อความ และส่งผลถึงกำไรต่อสตูดิโอผู้สร้าง ใครดูกันแล้วลองมาอ่านข้อเท็จจริงกันซิ ว่าเรื่องราวส่วนไหนที่ผู้เขียนบทหยิบยกเหตุการณ์จริงมา และเรื่องราวส่วนไหนที่เสริมเติมแต่งเข้าไปเพื่ออรรถรสในการชม
1. ก่อนมาร่วมทีมฮอตชอต "โดนัท" เคยเป็นขี้ยา หัวขโมย และกำลังมีลูกจริงหรือไม่
จริง : เบรนดัน แม็คโดนาห์ หรือ "โดนัท" ตามฉายาที่เพื่อน ๆ เรียก บทของ ไมลส์ เทลเลอร์ นั้นเป็นขี้ยาเขาเสพติดเฮโรอีน โดนจับข้อหาขโมยจีพีเอสติดรถยนต์ และแฟนสาวก็กำลังต้องท้องลูกของเขาด้วย เป็นเหตุที่เขาอยากจะพลิกชีวิตตัวเองเพื่อเป็นพ่อที่ดี ด้วยการเข้าร่วมทีมฮอตชอต "ลูกผมคลอดก่อนที่ผมจะได้เข้าทีมฮอตชอต ผมรู้สึกแย่ที่ไม่สามารถเลี้ยงดูลูกสาวผมได้ มันเป็นช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีตผม ผมหางานไม่ได้ แม้กระทั่งงานทอดเบอร์เกอร์ในแมคโดนัลด์ เพราะไม่มีใครอยากจ้างคนที่มีเคยมีคดีติดตัวแบบผม การได้เข้าร่วมทีมฮอตชอตคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตผม มันเหมือนการช่วยชีวิตผมไว้ ไม่เช่นนั้นผมก็ยังคงเป็นไอ้ขี้ยาต่อไป แล้วก็จบลงในคุกไม่ก็เสพยาเกินขนาดตาย ชีวิตในทีมฮอตชอตช่วยสอนให้ผมเป็นลูกผู้ชายเป็นพ่อคน"
เบรนดัน เขียนเรื่องราวจากความทรงจำ แบบนาทีต่อนาทีในวิกฤตการณ์ไฟป่ายาร์เนล ออกมาเป็นหนังสือ "My Lost Brothers" ในหนังสือยังเผยอีกว่า เขาไม่ใช่ตัวเลือกแรกที่อีริค มาร์ช ยอมรับให้เข้าร่วมทีม มีคนก่อนหน้าเขา 3 คน ที่ทนฝึกไม่ไหวแล้วลาออกไปก่อน , เบรนดัน อยู่กับทีมฮอตชอตมานานจนผ่านฤดูไฟป่ามาแล้ว 3 รอบ ก่อนจะถึงวันโศกนาฏกรรม
2. เฮลิคอปเตอร์ดูดน้ำจากสระตามบ้านคนจริงหรือ
จริง : ในฉากต้นเรื่องเราเห็นว่าเฮลิคอปเตอร์ดับเพลิงกำลังดูดน้ำจากสระว่ายน้ำในบ้านพลเรือนเพื่อไปดับไฟป่า นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นปกติในอเมริกา เวลาเกิดไฟป่าเฮลิคอปเตอร์ก็จะหาน้ำจากแหล่งน้ำใกล้ๆ เช่นทะเลสาบ สระว่ายน้ำ แอ่งน้ำ เพื่อไปดับไฟ
3. เรื่องจริงที่ไม่ถูกเล่าในหนัง ปูมหลังของอแมนดา
ในตอนที่อีริคและอแมนดาทะเลาะกัน เราได้ยินพื้นเพของอีริคว่าติดแอลกอฮอล์มาก่อน และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้ทั้งคู่พบกัน อแมนดาเริ่มหัดดื่มเหล้าตั้งแต่ 8 ขวบ สาเหตุเพราะว่าเธอผ่านช่วงเวลาสุดสยองมา จากคืนหนึ่งที่เธอไปหาเพื่อนที่บ้าน ในคืนนั้นนักโทษแหกคุกเข้ามาในบ้านเพื่อนของเธอ นักโทษคนนั้นฆ่าพ่อแม่และเพื่อนของเธอ รวมถึงเพื่อนบ้านที่มาหาในวันนั้นด้วย เหตุการณ์นั้นตามหลอกหลอนกลายเป็นฝันร้ายที่อแมนดาลืมไม่ได้ และทำให้เธอดื่มเหล้าอย่างหนักเพื่อจะให้ลืมและทำให้เธอกลายเป็นขี้เหล้า จนต้องเข้ารับการบำบัด และนั่นทำให้เธอได้พบกันอีริค มาร์ช
4. โดนัทบอกอีริค มาร์ช ว่าจะลาออกในคืนก่อนไฟป่ายาร์เนลจริงหรือ
ไม่ตรงเสียทีเดียว : ในหนังมีฉากที่โดนัทเรียกอีริคมาคุยนอกบาร์ โดนัทบอกอีริคว่าเขาจะลาออกจากทีมฮอตชอตไปอยู่หน่วยตำรวจดับเพลิงดับที่คอยดับไฟอาคาร ซึ่งเป็นงานปลอดภัยกว่าทำให้เขาสามารถมีเวลาอยู่กับลูกสาวได้มากขึ้น และลงเอยด้วยถ้อยคำสบประมาทจากอีริคว่าไม่มีหน่วยงานไหนจะรับคนเคยมีคดีติดตัวอย่างโดนัทหรอก ในความเป็นจริง โดนัทปรึกษาเรื่องอนาคตของเขากับอีริคอยู่เนือง ๆ และอีริคก็เข้าใจสถานการณ์ของโดนัทและไม่เคยต่อว่าเขาสักครั้ง กลับให้กำลังใจอีกว่า "อะไรที่นายจำเป็นต้องทำเพื่อลูกสาว เดินหน้าและลงมือทำเลย ฉันสนับสนุนเต็มที่อยู่แล้ว"
5. อีริค และ อแมนดา มาร์ช ทะเลาะกันในคืนก่อนไฟป่ายาร์เนล
ไม่จริง : ในหนังจะมีฉากดราม่ารุนแรง ที่โชว์พาวเวอร์นักแสดงนำทั้ง จอช โบรลิน และ เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่ ในระหว่างขับรถกลับบ้านจากบาร์ เมื่ออแมนดา เรียกร้องถึงคำสัญญาว่าอีริค รับปากว่าจะมีลูกกับเธอ จากบทสนทนาทวีความรุนแรงยนถึงขั้นมีปากเสียงผิดใจกัน และอีริคก็ลงจากรถเพื่อยุติการทะเลาะเบาะแว้งในคืนนั้น ก่อนจะกลับมาขอโทษอแมนดาในเช้าวันรุ่งขึ้น ในความเป็นจริงไม่มีบันทึกใด ๆ ที่อ้างถึงเหตุการณ์ทะเลาะเบาะแว้งระหว่างสามีภรรยาคู่นี้ เป็นการเขียนเพิ่มเติมเข้าไปเพื่อเนื้อหาด้านดราม่าของหนัง
6. อแมนดา ทำอาชีพดูแลและฟื้นฟูสุขภาพม้าจริงหรือ
จริง : อแมนดารักม้าตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก หลังแต่งงานกับอีริคในปี 2010 เธอก็เริ่มธุรกิจฝึกม้าและรับตกแต่งกีบเท้าทั้งในฟาร์มของเธอ และรับออกไปดูแลตามฟาร์มอื่น ๆ หลังเหตุโศกนาฏกรรม อแมนดา ก็ยังคงดำเนินธุรกิจของเธอต่อไป และเธอยังพัฒนาตัวเองไปเป็นช่างภาพ อแมนดามีผลงานภาพถ่ายม้าจำนวนมาก และยังนำกำไรส่วนหนึ่งจากงานขายภาพถ่ายเข้า "มูลนิธิอีริคมาร์ช" ดูผลงานของเธอได้ที่ http://amandamarshphotography.com/works
7. ทำไมทีมฮอตชอตยังเสียชีวิตภายใต้ถุงกันไฟ
ในช่วงเวลาคับขันนั้น กระแสลมเกิดเปลี่ยนทิศด้วยความเร็ว 22ไมล์ต่อชั่วโมง ด้วยสภาพบรรยากาศที่แห้งผาก อุณหภูมิถีบตัวสูงขึ้นถึง 100 องศาฟาเรนไฮธ์ บวกกับสภาพภูมิประเทศเป็นใจให้กระแสไฟลุกลามกว้างขึ้นจาก 300 เอเคอร์แพร่ขยายเป็น 2,000 เอเคอร์ในเวลาอันรวดเร็ว จากทิศทางไฟที่มุ่งหน้าตะวันออกเฉียงเหนือไปทางหมู่บ้านกลับเปลี่ยนทิศมุ่งเข้าหาทีมฮอตชอตด้วยความเร็ว 12 ไมล์ต่อชั่วโมง ด้วยความเร็วขนาดนี้หมดสิทธิ์ที่ทีมฮอตชอตจะวิ่งหนีได้ทัน เมื่อไฟป่าเข้ามาในระยะประชิด อีริค มาร์ช วิทยุหาศูนย์บัญชาการ "ผมอยู่ที่นี่กับทีมฮอตชอต เส้นทางหนีของเราโดนไฟปิดกั้นหมดแล้ว ตอนนี้เราเตรียมพื้นที่เผชิญหน้ากับไฟ เราเผาพื้นที่รอบๆ เตรียมพร้อมกันอยู่ ผมจะติดต่อกลับไปเมื่อเราอยู่ใต้ถุงกันไฟแล้ว" แต่ก็ไม่มีการติดต่อครั้งต่อไปจากอีริค ทีมช่วยเหลือไปถึงพื้นที่ตั้งรับของทีมฮอตชอต พบถุงกันไฟทั้ง 19 ใบ แต่ไม่ได้มีศพอยู่ในถุงนั้นทุกใบ ถุงกันไฟไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เผชิญกับการเผาไหม้โดยตรง ศพพวกเขาจึงอยู่ในสภาพไหม้เกรียมและเหลือเพียงเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อย
8. โดนัท ถูกมอบหมายให้ออกไปเฝ้าระวังเพราะเพิ่งฟื้นสภาพจากโดนงูหางกระดิ่งกัดจริงหรือ
ไม่จริง : ไม่มีการบันทึกว่าโดนัทเคยถูกงูหางกระดิ่งกัดและต้องไปนอนพักฟื้นในโรงพยาบาล ตามเหตุการณ์จริง อีริค มอบหมายงานเบาให้โดนัทไปคอยเฝ้าระวังเพราะโดนัทเพิ่งฟื้นจากไข้ต่างหาก
9. หลังทีมฮอตชอตเสียชีวิต ไฟป่ายาร์เนลแพร่ขยายไปเพียงใด
ทีมฮอตชอตเสียชีวิตในวันที่ 30 มิถุนายน 2013 วันรุ่งขึ้น 1 กรกฎาคม 2013 ไฟป่ายาร์เนลกินพื้นที่ไปแล้ว 8,300 เอเคอร์ และสามารถควบคุมได้เพียงแค่ 8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ไม่ขยายพื้นที่แล้วใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ผ่านมาถึงวันที่ 3 กรกฎาคม ทางดับเพลิงสามารถควบคุมพื้นที่ไฟได้ถึง 45 เปอร์เซ็นต์ จวบจนวันที่ 10 กรกฎาคม ถึงจะสามารถควบคุมพื้นที่ไฟป่าได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ผลสรุปไฟป่ายาร์เนลกินพื้นที่เสียหายไปทั้งหมด 8,400 เอเคอร์ เผาสิ่งก่อสร้างไป 127 หลังคาเรือน
10. สมาชิกครอบครัวของทีมฮอตชอต เพิ่งรู้ว่าโดนัทคือผู้รอดชีวิตคนเดียวตอนที่เขาปรากฏตัวจริงหรือ
ไม่จริง : เป็นการเสริมแต่งเพื่อความดราม่าของหนัง ในความเป็นจริงเหล่าลูกเมียและญาติพี่น้องต่างทราบเรื่องการเสียชีวิตของทีมฮอตชอตแล้วว่ามีใครบ้างผ่านทางทีวีและโซเชียลมีเดีย พวกเขาถูกขอร้องให้ไปรวมตัวกันที่โรงเรียนนั้นเพียงเพื่อให้ไปแสดงความเสียใจต่อกันตามมารยาท
11. ทีมฮอตชอตช่วยชีวิตต้นจูนิเปอร์ยักษ์จริงหรือไม่
จริง : เป็นหนึ่งในวีรกรรมที่ถูกเล่าขานของทีมฮอตชอตที่ช่วยปกป้องต้นจูนิเปอร์ยักษ์ไว้ได้ จากไฟป่าโดซีในเดือนมิถุนายน 2013 ในหนังจึงต้องจำลองสถานการณ์นี้ออกมาอย่างละเอียด รวมไปถึงการต่อตัวเป็นทรงปิรามิดของทีมฮอตชอต แต่ลดเหตุการณ์มาว่าเกิดแค่เพียงในวันเดียว อ้างอิงจากหนังสือ "My Lost Brothers," ของเบรนดัน แม็คโดนาห์ ทีมฮอตชอตต่อสู้กับไฟป่าโดซีอยู่ถึง 3 วัน ก่อนจะถูกส่งไปปกป้องต้นจูนิเปอร์ยักษ์ในวันสุดท้าย และต่อตัวปิรามิดถ่ายรูปร่วมกันหน้าต้นจูนิเปอร์และนั่นคือรูปสุดท้ายที่ทีมฮอตชอตได้ถ่ายร่วมกัน