21 เรื่องน่าทึ่ง ที่เราไม่เคยรู้เกี่ยวกับ บรู๊ซ ลี
โลกเรารู้จัก บรู๊ซ ลี ในฐานะดาราชาวจีนคนแรกที่ไปประสบความสำเร็จในฮอลลีวู้ด ด้วยความเชี่ยวชาญกังฟูทั้งอาวุธและมือเปล่าตัวจริงเสียงจริง สร้างความฮือฮาให้กับฝรั่งในยุคต้น 70s บรู๊ซ ลี สั่งสมชื่อเสียงจากทีวีซีรีส์จนเป็นที่รู้จักและได้ไปเป็นพระเอกในหนังฮอลลีวู้ด Enter The Dragon (1973) บรู๊ซ ลี เสียชีวิตในวัย 32 ปี ที่ฮ่องกง ด้วยโรคลมบ้าหมู ฝากผลงานการแสดงไว้ 32 เรื่อง
ถึงวันนี้ บรู๊ซ ลี ก็ได้จากเราไปเป็นเวลา 43 ปีแล้ว แต่โลกก็ยังไม่เคยลืมเขา ทั้งฮ่องกง และ ฮอลลีวู้ด ก็ยังสร้างหนังเกี่ยวกับบรู๊ซ ลี ออกมาเรื่อยๆ ทั้งหนังโรง หนังทีวี ถ้านับรวมทั้งหนังที่กล่าวถึง บรู๊ซ ลี ตรงๆ และอ้างถึง หรือมีบทในเรื่องก็รวมแล้ว 56 เรื่อง ไม่รวมถึงหนังที่ได้รับแรงบันดาลใจจากบรู๊ซ ลี อย่าง Ip Man และยังมีหนังที่อยู่ในระหว่างสร้างที่จะออกฉายปีหน้าด้วย สัปดาห์นี้จะมีหนัง Birth Of The Dragon เข้าฉาย เล่าวีรกรรมหนึ่งของบรู๊ซ ลี ในปี 1960 ที่อเมริกา บรู๊ซ ลี จะต้องประลองฝีมือกับ หว่อง แจ๊คแมน ปรมาจารย์กังฟูชาวจีนอีกคนหนึ่ง สำหรับแฟนหนังที่ชื่นชมในตัว บรู๊ซ ลี ลองมาทำความรู้จักกับ บรู๊ซ ลีเพิ่มขึ้น กับเรื่องราวน่าทึ่งที่บางเรื่องคุณน่าจะยังไม่รู้เกี่ยวกับเขา ก่อนจะไปรื้อฟื้นวีรกรรมของ บรู๊ซ ลี บนจอภาพยนตร์อีกครั้ง 21 กันยายน นี้
1. บรู๊ซ ลี เป็นแชมป์การเต้นชะชะช่า
หลายคนน่าจะยังไม่รู้กัน แต่ถ้าคิดตามก็ไม่แปลกนะ เพราะการที่บรู๊ซเชี่ยวชาญศิลปะการป้องกันตัวนั่นก็ทำให้เขามีฝีเท้าที่ไวอยู่แล้ว ประยุกต์มาเป็นการเต้นก็คือกิจกรรมที่ใช้ขาเช่นกัน แล้วบรู๊ซก็ไม่ได้แค่เต้นเป็นนะ แต่เขาเป็นถึงระดับแชมเปี้ยนในการแข่งขันเต้นชะชะช่าปี 1958 ที่ฮ่องกง ในช่วงที่บรู๊ซโดยสารเรือไปอเมริกา บรู๊ซ ก็ยังใจดีสอนบรรดาผู้โดยสารเต้นชะชะช่าด้วย ทำให้เขาได้อัปเกรดห้องโดยสาร จากเดิมที่นอนใต้ท้องเรือให้ไปนอนในห้องเฟิสท์คลาส ก็เพราะฝีมือการสอนเต้นของเขานี่แหละ
2. ใน Enter The Dragon บรู๊ซ ลี ไม่ได้โชว์ท่าฮิต "ตีลังกากลับหลังเตะ"
ในปี 1970 บรู๊ซ ลี บาดเจ็บที่หลังอย่างรุนแรง สาเหตุจากการยกน้ำหนักด้วยท่าประจำที่บรู๊ซ ตั้งชื่อว่า "อรุณสวัสดิ์" แล้วเส้นประสาทหลังส่วนล่างพลิก เป็นผลให้บรู๊ซ ไม่สามารถโชว์ท่าผาดโผนกลางอากาศในการแสดงได้เหมือนเดิม โดยเฉพาะฉากต่อสู้สำคัญในหนัง "Enter The Dragon" ทำให้ฉากนี้บรู๊ซต้องใช้ตัวแสดงแทน นั่นก็คือ "หยวน เปียว"ดารานักบู๊ชื่อดังในยุค 80s หนึ่งใน 3 สหาย เฉิน หลง, หงจินเป่า , หยวนเปียว ยังเป็นตัวแสดงแทนบรู๊ซ ลี ใน Game Of Death (1978) หนังที่บรู๊ซ ลี แสดงไว้ไม่จบ
3. บรู๊ซ ทำแขนตัวประกอบหักใน Enter The Dragon
แม้ว่าแสดงได้แบบไม่สมบูรณ์ 100% แต่ก็ยังทำให้ตัวประกอบเจ็บตัวได้ ในฉากต่อสู้สำคัญในเรื่อง บรู๊ซ จะต้องโชว์ท่าไซด์คิก ที่เป็นอีก1ท่าดังของเขา ในฉากนี้บรู๊ซจะต้องจัดการบ็อบ วอลล์ อาจารย์คาราเต้ด้วยท่าไซด์คิก บรู๊ซ แสดงฉากนี้หลายครั้งแล้วผู้กำกับก็ยังไม่พอใจ จนบ็อบ ต้องออกปากกับบรู๊ซว่า”เต็มที่เลย เตะมาให้สมจริงเลย” พอถึงเทคที่ 6 หรือ 7 นี่ล่ะ บรู๊ซ ก็จัดหนักให้ บ็อบ กระเด็นตามแรงเตะ บ็อบล้มทับใส่ตัวประกอบที่ยืนด้านหลัง เป็นเหตุให้ตัวประกอบแขนหัก ขนาดตัวประกอบรับผลจากแรงเตะยังแขนหัก หลายคนก็ชวนสงสัยจริง ๆ ว่า แล้วบ็อบจะเจ็บขนาดไหนเนี่ย
4. ค่าเรียนกังฟูกับบรู๊ซ ลี ชั่วโมงละ 250 ดอลลาร์สหรัฐ
บรู๊ซ ลี มีโรงเรียนสอนกังฟูอยู่ในลอส แองเจลิส ที่มีแค่บางคนรู้เท่านั้น เพราะไม่มีป้ายชื่อโรงเรียน สังเกตจากภายนอกจะไม่เห็นเลย ค่าเรียน 250 ดอลลาร์ในยุคนั้น เทียบกับค่าเงินในวันนี้ก็ประมาณ 1,500 ดอลลาร์ หรือเท่ากับ 50,000 บาท ต่อค่าเรียน 1 ชั่วโมง แล้วค่าเรียนระดับนี้ บรู๊ซ ก็ยังเปิดรับลูกศิษย์แค่ไม่กี่คนด้วย พูดถึงค่าเรียนแพงขนาดนี้ สเตอร์ลิง ซิลิแฟนต์เพื่อนของบรู๊ซ ลี ที่เป็นนักเขียนบทออกมาอธิบายว่า "บรู๊ซ ไม่ได้ตั้งค่าเรียนแพงเพราะเขาอยากได้เงินจากนักเรียน แต่เพราะต้องการยกระดับคุณค่าวิชาของเขา แล้วมันอยู่ในช่วงที่กระแสเห่อศิลปะการต่อสู้จากเอเซียกำลังเป็นที่นิยมด้วย" หนึ่งในลูกศิษย์คนโปรดของบรู๊ซ ก็คือ ชัค นอร์ริส นักแสดงสายบู๊ระดับตำนานในยุค 80s ก็เป็นคนแนะนำบรู๊ซ ว่าท่าเตะสูงของเขาใช้ประโยชน์ได้ดีมากในการต่อสู้
5. บรู๊ซ ลี เขียนอัตชีวประวัติของตัวเอง
ด้วยชื่อและหน้าตาของบรู๊ซ ที่เป็นคนจีน แต่แท้จริงแล้วบรู๊ซเกิดในไชนาทาวน์ ซานฟรานซิสโก แต่ไปเติบโตในฮ่องกง แล้วก็กลับมาอยู่อเมริกาในช่วงวัยรุ่น เขาสมัครเข้าเรียนปรัชญาในมหาวิทยาลัยวอชิงตัน นอกจากนั้นเขายังเป็นครูสอนศิลปะอีกด้วย บรู๊ซ เชี่ยวชาญในการสเก็ตช์ภาพ แล้ววิชาที่เขาร่ำเรียนมาก็ได้ใช้ประโยชน์จริง เมื่อบรู๊ซเขียนหนังสือเล่มแรกของเขา "กังฟูจีน:ปรัชญาศิลปะในวิชาต่อสู้ป้องกันตัว" เล่าเรื่องราวการประยุกต์รวมศิลปะการป้องกันตัวกับปรัชญา และหนังสือเล่มที่ 2 ของเขา "เต๋าแห่งจีตคุนโด" ที่รวบรวมมาจากบันทึกต่างๆ ของบรู๊ซ เล่มนี้ออกภายหลังบรู๊ซเสียชีวิตแล้ว
6. บรู๊ซ ลี เคลื่อนไหวเร็วมาก จนกล้องจับไม่ทัน
บทดังบทหนึ่งของบรู๊ซ ลี คือ "คาโต้" ในทีวีซีรีส์ "Green Hornet" เป็นบทที่บรู๊ซ ไม่ประทับใจเพราะเขาได้เล่นเป็นตัวประกอบ แทนที่จะได้รับบทนำ ระหว่างถ่ายทำฉากต่อสู้ ผู้กำกับจะสั่งถ่ายทำใหม่บ่อยมาก เหตุเพราะเขาเร็วเกินไป กล้องจับไม่ทัน "มันฟังดูเหลือเชื่อนะ ภาพที่ทุกคนเห็นคือ คู่ต่อสู้ล้มลงอยู่ข้างหน้าผม แม้ว่าผมจะพยายามช้าลงแล้ว แต่ภาพที่กล้องจับได้ก็เบลอไปหมด" บรู๊ซ ลี เล่าปัญหาให้ฟัง สุดท้ายหนังก็ต้องถ่ายทำด้วย เฟรมเรตที่สูงขึ้นเพื่อจับการเคลื่อนไหวของเขาให้ทัน ความเร็วทั้งมือทั้งเท้าของบรู๊ซ ได้มาจากการฝึกต่อยวันละ 5,000 ครั้ง ที่ไม่ช่วยแค่พัฒนาความเร็วแต่ยังเพิ่มความทรงพลังในหมัดของเขาด้วย
7. ถ้าบรู๊ซ ลี ไม่ตายก่อน Game Of Death ถ่ายทำเสร็จ มันจะเป็นหนังมาสเตอร์พีซของเขา
"Game Of Death"ออกฉายภายหลังบรู๊ซ ลี ตายได้ 5 ปี และมันออกมาแย่มาก บทไม่เอาไหน ผู้สร้างรวบรวมฟุตเตจเก่าๆ จากหนังเรื่องก่อนหน้าของบรู๊ซ ลี มาปะติดปะต่อกันทั้งเรื่อง ส่วนใหญ่ก็ใช้สตันท์แมนที่ดูคล้ายบรู๊ซ ลี มาเล่นแทน และใส่ภาพงานศพของบรู๊ซ ลี จริงๆ เข้ามาในเรื่องด้วย ฉากใหม่จริงๆ คือฉากไคลแมกซ์ ที่บรู๊ซ ลี ต่อสู้กับคู่ต่อสู้ 3 คน แดน อิโนซานโต , ฮัน เจจิ และ คารีม อับดุล จาบา ในร้านอาหาร แต่เรื่องราวเดิมที่บรู๊ซ ลี เขียนไว้คือฉากไคลแมกซ์นั้น บรู๊ซ จะลุยเดี่ยวเข้าไปจัดการคู่ต่อสู้ในเจดีย์ 5 ชั้น และแต่ละชั้นจะมีบอสที่เชี่ยวชาญการต่อสู้แต่ละแขนงต่างกันไป แล้วบรู๊ซ ก็จะโชว์ทักษะ จีต คุนโด ของเขาจัดการบอสแต่ละตัว จนสุดท้ายเหลือเพียงเขายืนอยู่เพียงหนึ่งเดียว เสียดายที่ว่า บรู๊ซ ถ่ายทำไปได้แค่ 3 จาก 5 ชั้นและเรื่องราวก็ถูกปรับเปลี่ยนไป เราก็เลยไม่ได้เห็น Game Of Death ในเวอร์ชั่นที่บรู๊ซ ลี ตั้งใจไว้
8. ทีวีซีรีส์ "กังฟู" เป็นไอเดียของบรู๊ซ ลี
ในยุค 70s "Kung Fu"เป็นทีวีซีรีส์ที่ฮิตมาก เดวิด คาราดีนรับบทเป็น "ไคว ชางเคน" ปรมาจารย์กังฟู ที่ผจญภัยไปในดินแดนตะวันตก ลินดา ภรรยาม่ายของบรู๊ซ ลี ออกมาเผยว่า พลอตเรื่อง "กังฟู"นั้นเป็นไอเดียของบรู๊ซ ลี และบท ไคว ชางเคน ก็เดิมจะให้เขารับบท แต่ทางวอร์เนอร์ผู้สร้างไม่กล้าเสี่ยงให้ บรู๊ซ ลี ซึ่งเป็นดาราชาวเอเซียมารับบทนำในซีรีส์ที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน เลยเอาบทไปให้เดวิด คาราดีน แทน ก็ออกมาดูแปลกๆ เป็นคนอเมริกันแต่ชื่อจีน แต่ซีรีส์ก็ประสบความสำเร็จอย่างมากในยุคนั้น ฉายต่อเนื่องได้ 3 ซีซัน , เอ็ด สปีลแมน ในฐานะเจ้าของซีรีส์ ก็ออกมาโต้แย้งว่าไอเดียของบรู๊ซ ลี กับของเขามันบังเอิญคล้ายกันแค่นั้นเอง
9. บรู๊ซ ลี และ เฉิน หลง เคยแสดงร่วมกันมาแล้ว
เฉิน หลง เคยได้ร่วมงานกับบรู๊ซ ลี มาแล้ว 2 เรื่อง ในยุคนั้น เฉิน หลง เข้าวงการในฐานะสตันท์แมน ใน The Big boss (1971) เฉิน หลง โดนบรู๊ซ ลี เตะทะลุประตู ส่วนใน enter the dragon (1973) ก็โดนบรู๊ซ ลี ล็อคคอ ในช่วงที่เข้าวงการใหม่ ๆ เฉิน หลง ก็นับถือบรู๊ซ ลี ในฐานะไอดอล เขาดีใจที่ได้ร่วมงานกับบรู๊ซ แต่ก็ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว จนกระทั่งในฉากหนึ่ง บรู๊ซ ใช้ไม้ตีเข้าที่หัวของเฉิน หลง อย่างแรง พอผู้กำกับสั่ง "คัท" บรู๊ซ รีบวิ่งมาถามไถ่อาการของเฉิน หลง ว่าเป็นอย่างไรบ้าง เฉิน หลง ก็ดีใจที่ความบาดเจ็บในการแสดงก็ทำให้เขาได้รับการสนใจจากบรู๊ซ ตั้งแต่นั้นบรู๊ซ ก็จำชื่อเฉิน หลง ได้และทักทายเขาอยู่เสมอจนจบการถ่ายทำ
เฉิน หลง เล่าประสบการณ์แสดงร่วมกับบรู๊ซ ลี
10. บรู๊ซ ลี ใช้กัญชาในการรักษาอาการบาดเจ็บ
บรู๊ซ ลี ไม่ดูดบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์เลย แต่หลังจากมีอาการบาดเจ็บที่หลัง บรู๊ซ ก็กินยาแก้ปวดอยู่เป็นปี จนเขาไปได้สูตรการรักษามาจากเนปาล ที่เขาเขียนเผยไว้ในหนังสือของว่า เขาใช้กัญชาในการรักษา บรู๊ซ ใช้วิธีเคี้ยวกัญชามาตลอดเป็นสิบปี เพื่อใช้บรรเทาความเจ็บปวดที่หลัง
11. เรือนร่างบรู๊ซ ลี ไม่ได้สมบูรณ์อย่างที่เราเห็น
เมื่อเรานึกถึงภาพบรู๊ซ ลี เขาคือมนุษย์ที่มีเรือนร่างสมบูรณ์พร้อม ทั้งหน้าท้อง มัดกล้าม ไม่มีไขมันให้เห็นสักนิดเดียว แต่แท้จริงแล้วเขาก็มีจุดด้อยที่เราไม่สังเกตเห็นคือ ขาสองข้างยาวไม่เท่ากัน ขาซ้ายของบรู๊ซสั้นกว่าขาขวา 1 นิ้ว แต่ก็ไม่มีปัญหาในการเดินและการต่อสู้ บรู๊ซ เองก็เคยผ่าตัดศัลยกรรมด้วย เขาเป็นคนที่รำคาญเวลาเหงื่อออกใต้รักแร้ ในปี 1972 บรู๊ซ ก็เลยเข้ารับการผ่าตัดเอาต่อมเหงื่อออกจากใต้รักแร้ทั้งสองข้างซะ
12. บรู๊ซ ลี สายตาสั้นมาก
แต่เราไม่คุ้นภาพบรู๊ซ ลี ใส่แว่นสายตาเลย ก็เพราะเขาเป็นคนแรกๆ ที่ใช้คอนแทคเลนส์ ในยุคนั้น และด้วยปัญหาทางสายตาของเขา ทำให้บรู๊ซ ลี ได้รับการยกเว้นเกณฑ์ทหารในปี 1963 ไม่งั้นบรู๊ซ ลี โดนส่งไปรบที่เวียดนามแล้ว
13. เขาเป็นศิลปิน
ทุกๆ วันบรู๊ซจะใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการเขียนบทกลอนและสเก็ตช์ภาพ หลายๆ บทกลอนของเขาถูกบรรจุอยู่ในหนังสือ "เต๋าแห่งจีตคุนโด" ส่วนงานเขียนภาพก็มักจะเป็นภาพการต่อสู้ นอกจากนั้นบรู๊ซ ยังรักการอ่านมากด้วย เขามีห้องสมุดส่วนตัวที่มีหนังสือกว่า 2,000 เล่ม เขามีความคิดว่าจะต้องเพิ่มพูนความรู้ให้ตัวเองมากเท่าที่ทำได้ บรู๊ซ อ่านแม้กระทั่งตอนออกกำลังกาย
14. เคยเป็นนักเลงมาก่อน
สมัยหนุ่มๆ ตอนยังอยู่ที่ฮ่องกง บรู๊ซ เคยเป็นหัวหน้าแก๊ง "The Tigers of Junction Street" และมีเรื่องชกต่อยอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ในช่วงนั้นบรู๊ซ สร้างศัตรูไว้มากมาย มีครั้งหนึ่งที่เขาเกือบจนมุม เมื่อโดนแก๊งคู่อริล้อมอยู่บนดาดฟ้าตึก 16 ชั้นบนถนนนาธาน แต่ก็โชคดีที่ลูกน้องในแก๊งมาช่วยไว้ได้ทัน และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่บรู๊ซมีความตั้งใจในการฝึกฝนศิลปะการป้องกันตัวเพื่อใช้ในการต่อสู้ บรู๊ซ สร้างปัญหาให้ตัวเองเมื่อเขาไปทุบตีชายที่กำลังจับสมาชิกม็อบชาวจีน จากเหตุนี้บรู๊ซ เลยถูกส่งตัวกลับมาอยู่ที่อเมริกาเพื่อความปลอดภัยของเขาเอง
15. ไม่นับถือศาสนา
แม้ว่าแม่จะเป็นคาธอลิกที่เคร่งครัดไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ ส่วนพ่อก็นับถือพุทธ ตอนเด็กๆ เขาก็เรียนโรงเรียนคาธอลิก แต่พ่อแม่ก็ไม่ได้เข้มงวดกับบรู๊ซในเรื่องศาสนา แต่เมื่อโตขึ้นมาเขามีทิศทางของตัวเอง และเมื่อถูกถามว่านับถือศานาอะไร เขาก็จะตอบทันทีว่า "ไม่นับถือศาสนาใดเลย" และถ้าถามต่อว่า "เชื่อในพระเจ้าหรือไม่?" บรู๊ซก็ตอบว่า "ตอบอย่างจริงใจเลยครับ ผมไม่เชื่อ" บรู๊ซ เชื่อว่าเราทุกคนจะสามารถค้นหาตัวตนผ่านจิตวิญญาณตัวเองได้" บรู๊ซ ยังมีความเชื่ออีกว่าการจัดแบ่งมนุษย์ให้นับถือศาสนาใดๆ เป็นวิธีทางที่ผิด และจะนำพาไปสู่การแบ่งแยก
16. มีเชื้อสายเยอรมัน
แปลกดีไหมล่ะ ปู่ของเขาเป็นชาวเยอรมัน 100%เลย แต่บรู๊ซ มักจะไม่พูดถึงว่าเขาเป็นลูกผสม ไม่ใช่ชาวจีนแท้ มันไม่เป็นผลดีกับชีวิตในวัยเด็กของเขา เพราะโรงเรียนกังฟูในยุคนั้นจะเปิดสอนเฉพาะชาวจีนแท้ๆ แต่ก็โชคดีที่บรู๊ซ ลี ได้มาเจอกับอาจารย์ยิปมัน ผู้เป็นคนสอนมวยหย่งชุนให้กับเขา และบรู๊ซ ก็เอาไปประยุกต์กลายเป็นจีตคุนโดในภายหลัง
17. มีอีกตั้งหลายอย่างนะที่บรู๊ซทำไม่ได้
อ่านมาถึงตรงนี้ เราจะรู้สึกว่าบรู๊ซเป็นอัจฉริยะนะ เป็นอาจารย์สอนมวย , นักแสดง , นักปรัชญา , ศิลปินนักเขียนภาพ เขียนกลอน , นักเขียนหนังสือ , แชมป์เต้นรำ แต่ก็มีอีกมากที่เราแทบไม่เชื่อว่าบรู๊ซทำไม่ได้ อย่างเช่น ว่ายน้ำ บรู๊ซ มีประสบการณ์เลวร้ายในวัย 12 เมื่อพี่สาวแกล้งกดหัวเขาไว้ใต้น้ำตามประสาเด็ก แต่กลับสร้างความกลัวติดในใจของบรู๊ซ ตลอดมา และเขาไม่เคยคิดจะเรียนว่ายน้ำเลย , ตอนเด็กบรู๊ซหัดขี่จักรยานแล้วล้มอยู่ 2 ครั้ง ก็เลยเลิกหัดอีกเช่นกัน ก็เลยขี่จักรยานและมอเตอร์ไซค์ไม่เป็น บรู๊ซยังเป็นคนขับรถที่แย่มากด้วย จะไปไหนมาไหนก็เลยจะไหว้วานให้เพื่อนขับให้ นอกจากนั้นอย่าคิดไหว้วานบรู๊ซให้ซ่อมนู่นนี่นั่นภายในบ้าน งานช่างไม่ใช่งานถนัดของเขาอีกเช่นกัน
18. เล่นหนังมาตั้งแต่เด็ก
ก็เพราะพ่อของบรู๊ซเป็นนักร้องโอเปราผู้มีชื่อเสียง ก็เป็นเหตุให้บรู๊ซ ได้วนเวียนอยู่กับวงการแสดงตั้งแต่เด็ก เขาปรากฏตัวในหนังตั้งแต่อายุเพียง 3 เดือน ในหนังเรื่อง "Golden Gate Girl" หนังถ่ายทำในซานฟรานซิสโก บรู๊ซเล่นเป็นทารกเพศหญิง บรู๊ซ มีความใฝ่ฝันจะเป็นดาราตั้งแต่เด็ก บรู๊ซบอกแม่ว่าโตขึ้นไปเขาจะเป็นดาราดัง แล้วตอน 6 ขวบ บรู๊ซก็ได้เล่นหนังอีกเรื่อง "The Birth of Mankind" พอถึงอายุ 18 บรู๊ซก็แสดงมาแล้วถึง 20 เรื่อง พอโตเป็นหนุ่มบรู๊ซถึงคุ้นเคยกับการเข้ากล้องเป็นอย่างดี
19. เป็นมังกรตั้งแต่เกิด
ชื่อจริงของเขาคือ "ลี จุนฟาน" แต่พี่สาวตั้งชื่อเล่นให้ว่า "เจ้ามังกรน้อย" ส่วนพยาบาลทำคลอดตั้งชื่ออังกฤษให้เขาว่า "บรู๊ซ" ทั้งหมดนี้ก็กลายเป็นชื่อที่ติดตัวเขาจนเข้าวงการแสดง แล้วดวงของบรู๊ซก็เป็นมังกรแบบสมบูรณ์พร้อม เพราะบรู๊ซเกิดในจักราศรี มังกร เกิดมาในชั่วโมงมังกร วันมังกร ปีมังกร ส่งให้เขาเป็นมังกรแห่งฮอลลีวู้ดจริงๆ
20. ศึกกับมูฮัมหมัด อาลี
บรู๊ซคิดฝันไว้ว่าเขาจะได้ประลองกับมูฮัมหมัด สักครั้ง เขาศึกษาท่วงท่า เทคนิค สไตล์การต่อย รูปแบบการฟุตเวิร์ค การเคลื่อนไหวของอาลีอย่างละเอียด นอกเหนือจากในฐานะนักมวยอาชีพแล้ว บรู๊ซ ยังชื่นชมบทบาทในการต่อต้านสงครามเวียดนามของอาลีอีกด้วย บรู๊ซ ยกย่องอาลีว่าเขาคือ "นักสู้ที่ทรงคุณค่า" และหวังว่าจะได้พิสูจน์ฝีมือกันสักครั้ง แต่น่าเสียดายที่ไฟต์นี้ไม่ได้เกิดขึ้น
21. ปริศนาการตาย
ทุกวันนี้สาเหตุการตายที่แท้จริงก็ยังคงเป็นปริศนาให้ถกเถียงกันอยู่ ว่าเป็นไปได้อย่างไรคนที่แข็งแรงยังกะหินอย่างนี้จะตายได้แบบปุบปับ มีการคาดเดาว่าว่าบรู๊ซโดนวางยาพิษ บ้างก็ว่าโดนคุณไสย หรือไม่ก็โดนคู่อริสมัยวัยรุ่นตามมาเก็บ บางทฤษฎีก็บอกว่าบรู๊ซโดนแก๊งอั้งยี่จีนสั่งเก็บเหตุเพราะบรู๊ซเอาวิชากังฟูเก่าแก่ของชาวจีนไปสอนให้กับฝรั่ง เป็นเรื่องราวที่บรรพชนชาวจีนยอมรับไม่ได้ บรู๊ซเองก็โดนเตือนหลายครั้งแล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้