7 หนัง 'รอมคอม' อินดี้ที่จะกอบกู้หัวใจอันยับเยินของคุณ
หนังโรแมนติก คอมเมดี้ หรือ "รอมคอม" เป็นสิ่งที่คอหนังแนวหัวใจต้องการความหวานมักสรรหามาชมอยู่เรื่อยๆ ซึ่งในแต่ละปีก็มีหนังสไตล์นี้ออกมามากมาย ทั้งฟอร์มใหญ่และฟอร์มเล็กและนี่คือบางส่วนของหนังรอมคอมอินดี้ที่ใช้ทุนสร้างไม่มากมาย แต่กระแทกใจแฟนๆเข้าอย่างจังจนเป็นหนังที่ไม่ควรพลาด
1. Ruby Sparks (2012)
ผลงานจากผู้สร้าง Little Miss Sunshine ที่เล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของนักเขียนหนุ่มที่วันหนึ่งพบว่าตัวละครหญิงสาวที่เขาเขียนอยู่นั้นได้กลายมาเป็นคนจริงๆและเขาก็ตกหลุมรักเธอในทันที หนังมี พอล ดาโน่ และ โซอี้ คาซาน มารับบทคู่รักที่สะท้อนภาพความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวออกมาได้อย่างละเมียดละไม ทั้งยังนำเสนอความรักในแง่มุมที่หากตัดความแฟนตาซีออกไป คู่ตัวละครเอกของหนังเรื่องนี้ก็ไม่ต่างจากคู่รักทั่วไปที่ต้องเผชิญคำถามที่ว่า 'ความรักจะมีความสุขไหม หากเราต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อทำทุกอย่างให้อีกฝ่ายพอใจ?'
Ruby Sparks ประสบความสำเร็จหลังออกฉายและหลายมาเป็นหนังรอมคอมที่น่าจดจำที่สุดเรื่องหนึ่งของปีนั้น กระทั่งเมื่อถึงฉากสุดท้าย คุณก็อาจยิ้ม อิ่มเอมและประทับใจจนอยากจะที่หยิบมาดูซ้ำแล้วซ้ำอีก
2. Adventureland (2009)
2 นักแสดงวัยรุ่น คริสเต็น สจ๊วร์ต และ เจสซี่ ไอเซนเบิร์ก โคจรมาพบกันครั้งแรกในหนังโรแมนติก คอมเมดี้เรื่องนี้กับความรักของหนุ่มสาวภายในสวนสนุก ท่ามกลางฤดูร้อนที่พวกเขาต่างได้รับบทเรียนที่ทำให้เติบโตขึ้น แม้จะเป็นหนังฟอร์มเล็กๆ แต่หนังกลับได้นักแสดงดังมาร่วมงานหลายราย รวมถึงหนุ่มหล่อ ไรอัน เรย์โนลด์
เหตุการณ์ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในสวนสนุก แต่ด้วยการเล่าเรื่องที่เก็บรายละเอียดได้ดีและการแสดงที่เคมีเข้ากันระหว่างนักแสดงนำ ทำให้หนังสามารถกุมผู้ชมได้อยู่หมัด พร้อมตอกย้ำว่าช่วงเวลาสั้นๆก็เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้
3. Sleeping with Other People (2015)
เรื่องราวความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างเพื่อนที่กลายมาเป็นความโรแมนติก คอมเมดี้ที่จัดมุกตลกมาได้แรงสมเรท R ภายใต้เรื่องราวความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวที่ก่อตัวเรื่อยๆได้อย่างเป็นธรรมชาติ ผลงานจากผู้กำกับ Bachelorette ที่ได้ เจสัน ซูเดคิส และ อลิสัน บรี มารับบทคู่หูที่รั่วและน่ารักในแบบที่ไม่เหมือนใคร
4. Enough Said (2013)
เรื่องราวของคุณแม่ที่ต้องดูแลลูกสาววัยรุ่น เธอหย่าร้างกับสามีมานานและตอนนี้ก็สนุกกับการทำอาชีพนักนวดบำบัดที่ตระเวนไปนวดให้แก่ลูกค้าตามบ้าน กระทั่งเมื่อเธอได้บังเอิญพบกับหนุ่มใหญ่ร่างท้วมนิสัยดีที่มีลูกสาวหนึ่งคนและอยู่ในสถานะหย่าร้างเช่นกัน เธอค่อยๆรู้สึกได้ว่าความรักครั้งใหม่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เส้นทางความรักครั้งนี้ก็กลับไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด
นี่คือตัวอย่างหนังรอมคอมที่เล่าเรื่องราวความรักในแบบผู้ใหญ่ได้อย่างดีเยี่ยมกับการบอกเล่าความสัมพันธ์ของชายหญิงที่ต้องเผชิญกับความสับสนในการตัดสินใจและเรื่องความเชื่อในโอกาสครั้งที่ 2 ของความรัก นอกจากการแสดงที่เป็นธรรมชาติของนักแสดงนำ หลังดูจบคุณอาจจะลองมองความรักในแง่มุมใหม่ๆ ว่าการจะเลือกรักใครสักคน 'ทัศนคติ' อาจไม่สำคัญเท่า 'ความรู้สึก' ก็เป็นได้
5. Celeste & Jesse Forever (2012)
ไม่ใช่ว่าเรื่องราวความรักจะลงเอยด้วยความสุขแบบนิยายเสมอไปและนี่คือหนังที่จะพาเราไปสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวที่เริ่มต้นจากเป็นเพื่อนกัน คบกัน แต่งงานกันและหย่าร้างกัน แต่ก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่
สิ่งที่โดดเด่นของหนังเรื่องนี้คือการดำเนินเรื่องที่อยู่บนพื้นฐานความจริงกับเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เราสามารถพบได้จากทุกคน จากทุกความสัมพันธ์รอบตัว มันไม่ใช่รอมคอมที่เต็มไปด้วยความเฟ้อฝัน แต่คือการปลุกเราให้เงยหน้ามามองว่าความรักจริงๆนั้นเป็นเช่นไร
6. Beginners (2010)
โอลิเวอร์ คือหนุ่มวัยกลางคน นักออกแบบวาดภาพการ์ตูน ที่ต้องมาพบจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เริ่มจากการจากไปของผู้เป็นแม่ ตามด้วยการที่พ่อวัย 75 ปีของเขาสารภาพกับลูกชายคนเดียวคนนี้ว่าเป็นเกย์!? แต่ท่ามกลางเรื่องที่ชวนให้ตั้งตัวไม่ถูก เขาก็ได้พบกับ แอนนา สาวสวยที่เข้ามาทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ แต่ความสัมพันธ์นี้จะเป็นไปได้จริงๆรึเปล่า เพราะตอนนี้เขาไม่พร้อมที่จะเปิดใจให้ใครทั้งนั้น
หนังมาพร้อมการแสดงที่ยอดเยี่ยมของ คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ ในบทคุณพ่อที่รู้ใจตัวเองเมื่ออายุมาก แต่นั่นก็คือหนึ่งในความดีของหนังเรื่องนี้ เพราะ Beginners เป็นหนังที่ให้ความรู้สึกละมุนหัวใจอย่างที่สุดกับการนำเสนอมุมมองความรักของชายหนุ่มคนหนึ่งที่โตมาพร้อมกับความคิดฝังหัวว่า 'ความรักเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคง' และมันกลายมาเป็นอุปสรรคเมื่อเขาตกหลุมรักใครสักคน หลังดูจบ คุณจะเข้าใจมากขึ้นว่า 'จุดเริ่มต้น' ในการเปิดใจรับใครเข้ามานั้น มักยากเสมอ
7. 2 Days in Paris (2007) / 2 Days in New York (2012)
จูลี่ เดลฟี ไม่ได้มีแค่หนังรักตระกูล "Before…" แต่เธอยังมีผลงานรอมคอมที่รับหน้าที่กำกับและแสดงนำเองอย่างหนังสองเรื่องนี้ด้วย โดยเฉพาะเรื่องแรกที่กลายเป็นใบเบิกทางที่ดีให้เธอในฐานะผู้กำกับ
เรื่องราวของคู่รักที่ใช้เวลา 2 วันที่กรุงปารีส เพื่อทบทวนความสัมพันธ์ทั้งหมดที่ผ่านมา จุดเด่นของหนังก็คือการเต็มไปด้วยบทสนทนาระหว่างตัวละครที่ถกกันแทบจะตลอดเวลา บางเรื่องก็ดี บางเรื่องก็พากันบานปลาย ซึ่งสะท้อนภาพความรักที่เรื่องเล็กน้อยสามารถลามไปเป็นแผลในความสัมพันธ์ได้ดี ช่วงเวลา 2 วันอาจจะมากพอที่ทำให้คนเรารักกันได้ แต่ในทางกลับกันเพียงแค่ 2 วัน มันก็มากพอที่จะทำให้ความสัมพันธ์พังทลายลงได้เช่นกัน และมันคงดีกว่าถ้าเรารู้จักตัวตนของคนที่เรารัก ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป