10 เรื่องน่ารู้ก่อนไปดู Hellboy 2019

Movie News9 เมษายน 2562

         เพราะว่าโลกซูเปอร์ฮีโร่ไม่ได้มีแค่มาร์เวล และ ดีซี เท่านั้น ปีนี้เลยต้องขอแบ่งพื้นที่ให้กับ Hell Boy เสียหน่อย เขาคือซูเปอร์ฮีโร่จากค่าย ดาร์ค ฮอร์ส ค่ายหนังสือการ์ตูนที่เน้นแต่เนื้อหาหม่นๆ เป็นหลัก เฮลล์บอย ถือว่าเป็นซูเปอร์ฮีโร่ยุคใหม่ ถือกำเนิดมาเมื่อปี 1993 แจ้งเกิดไม่ถึง 10 ปี ก็ถูกซื้อลิขสิทธิ์ไปสร้างเป็นหนัง ออกมา 2 ภาคในปี 2004 และ 2008 ด้วยฝีมืออภิมหาผู้กำกับ กีเยร์โม เดล โตโร ผู้กำกับสายดาร์คที่เข้ากั๊นเข้ากันกับโทนหนังแบบนี้ เว้นช่วงห่างไปถึง 11 ปี เฮลล์บอย ถึงได้กลับมาสู่จอภาพยนตร์อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ภาคต่อ แต่เปรียบเสมือนภาครีบู๊ต ที่เปลี่ยนใหม่หมดทั้งผู้กำกับ และ ดารานำ ได้นีล มาร์แชล ผู้กำกับสายสยองขวัญที่สร้างชื่อมาจาก Dog Soldier และ The Descent มารับหน้าที่กำกับ และได้ เดวิด ฮาร์เบอร์ นักแสดงชายจากซีรีส์ฮิตอย่าง Stranger Thing มารับบทนำ หนังมีกำหนดฉายในบ้านเรา 11 เมษายน รับสงกรานต์นี้ แต่ก่อนไปชม นี่คือ 10 เรื่องน่าสนใจ เพื่อการรับชมอย่างมีอรรถรสมากขึ้นครับ

 

1. ไม่ใช่ Hell Boy ภาค 3


เฮลล์บอย และ นีล มาร์แชล ผู้กำกับชาวอังกฤษ


          ผู้กำกับนีล มาร์แชล ออกมายืนกรานเองเลย ว่าอย่าเข้าใจผิดว่านี่คือ Hell Boy 3 เพราะว่าทางค่ายเคยมายื่นข้อเสนอให้เขาสานต่อภาค 3 ต่อจาก กีเยร์โม เดล โตโร ที่ทำ 2 ภาคแรกไว้ ซึ่งนีลได้บอกปฏิเสธไป แต่ก็ยื่นข้อเสนอกลับไปว่า "ถ้าทางค่ายสนใจจะรีบู๊ตHell Boy ใหม่เขาสนใจที่จะทำนะ" เพราะว่า 2 ภาคแรกที่กีเยร์โม ทำไว้นั้นยอดเยี่ยมมาก ซึ่งนีลก็ให้ความเคารพกับผลงานของกีเยร์โม และยอมรับว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะสานต่อแนวทางที่กีเยร์โมทำไว้ และเขาไม่อยากไปต่อยอดจากความสำเร็จของผู้กำกับคนเก่า แต่รอบนี้เขาเลือกที่จะกลับไปหารากเหง้าเรื่องราวที่ไมค์ มิกโนล่า ได้สร้างสรรค์ไว้ และรีบู๊ตกันใหม่โดยถ่ายทอดเรื่องราวให้ได้ตรงต่อเนื้อหาต้นฉบับให้ได้มากที่สุดกันดีกว่า

 

2. ขอเป็นเรต R แล้วกันนะ



         หลังจาก  Logan และ Deadpool เป็น 2 เรื่องที่เปิดประตูบานใหม่ให้กับวงการหนังซูเปอร์ฮีโร่ว่าแม้ได้เรต R ก็ทำเงินได้ ก็ยิ่งทำให้ นีล มาร์แชล รู้สึกว่ามีอิสระในการทำ Hell Boy ภาคนี้มากขึ้น "คือต้นฉบับของไมค์ มิกโนล่า เรื่องราวก็ออกไปในทางแนวเรต R อยู่แล้ว ผมก็มองเห็นศักยภาพว่าน่าจะทำให้หนังออกมาหม่นขึ้นไปอีก จากนั้นทุกคนก็เห็นด้วยบอกงั้นเอาให้มันดาร์คไปเลย" ผู้กำกับนีลเผยแนวคิดในภาคนี้

เมื่อนีลอธิบายมาถึงตรงนี้ ทำให้เราสงสัยว่าแล้วมันจะดาร์คขนาดไหน ผู้อำนวยการสร้าง ลอยด์ เลวิน มาขยายความเพิ่มเติมว่า "มันเต็มไปด้วยเลือด ฉากตัดหัวขาด แล้วก็เต็มไปด้วยภาพรุนแรง แต่ต้องบอกกันไว้ก่อนว่าเราไม่ได้ยัดเยียดภาพพวกนี้ลงไปในหนังที่ดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูน คือตัวหนังสือการ์ตูนต้นฉบับทั้งภาพและเนื้อหามันก็เป็นเรต R อยู่แล้ว เราเพียงถ่ายทอดมาเป็นหนังด้วยความซื่อสัตย์ต่อต้นฉบับแค่นั้น" ผู้่กำกับนีล มาร์แชล มาเผยความรู้สึกอีกว่า "ผมรู้สึกว่ามันเจ๋งมากที่ได้สร้างหนังที่เป็นเรต R ไปเลยแบบนี้ ไม่งั้นผมก็รู้สึกเหมือนโดนใส่กุญแจมืออยู่ตลอดเวลา"

 

3. เดวิด ฮาร์เบอร์ ได้งานจาก Stranger Thing


เดวิด ฮาเบอร์ Hellboy คนใหม่ฟิตซ้อมเพื่อรับบท


         เมื่อพูดถึง Hell Boy แฟนเก่าก็นึกถึงแต่ชื่อของรอน เพิร์ลแมน ผู้รับบท Hell Boy คนเดิม พอ Hell Boy ภาครีบู๊ตถูกสร้างผู้อำนวยการสร้าง ลอยด์ เลวิน ก็โดนคำถามถึงรอน เพิร์ลแมน อยู่บ่อยครั้ง แต่โปรเจ็กต์ก็เลือกเดินหน้ากับการเสาะหานักแสดงคนใหม่มาเป็น Hell Boy แล้วลอยด์ ก็เล่าถึงช่วงเวลาที่เขาได้ค้นพบHell Boy คนใหม่ "พวกเรากำลังดู Stranger Thing ด้วยกันอยู่ แล้วทันใดนั้น...ผมก็พูดขึ้นมา คนนี้เป็นไงล่ะ เดวิด ฮาร์เบอร์ เป็น เฮลล์บอย ทุกคนที่อยู่ด้วยกันตอนนั้นก็แบบว่า "ว้าว" ทำไมไม่ลองเลือกเขาดูล่ะ เดวิด น่าจะเป็นเฮลล์บอยที่เยี่ยมยอดเลยนะ แล้วสุดท้ายเดวิด ก็เป็นนักแสดงคนแรกที่เราติดต่อให้มาลองบท แล้วก็เป็นคนเดียวที่เราติดต่อ"

 

4 .ดัดแปลงเนื้อหามาจากตอน The Wild Hunt



          ไมค์ มิกโนล่า ได้เขียนเรื่องราวของ Hell Boy มายาวนานมาก แล้วทีมผู้สร้างก็ตกลงใจเลือกตอน The Wild Hunt เป็นซีรีส์ชุดที่ 9 ของ Hell Boy ที่ออกมาในปี 2008 - 2009 มาเป็นต้นฉบับในการเล่าเรื่องภาคนี้ ลอยด์ เลวิน เผยเหตุผลที่เขาเลือกตอนนี้ก็เพราะ "เหตุผลแรกและเหตุสำคัญก็คือมันมีเรื่องราวที่ยอดเยี่ยม มีการเผยถึงความเป็นมาของเฮลล์บอย เราสามารถเดินหน้าเรื่องราวไปได้โดย ไม่ต้องไปเริ่มเรื่องราวจากจุดกำเนิดเหมือนหนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องอื่น ๆ มันเป็นตอนที่เหมาะเจาะมากกับการหยิบมาเป็นภาครีบู๊ต แต่เราก็ไม่ได้หยิบ The Wild Hunt มาเล่าตามเดิมเป๊ะ ๆ เรายังหยิบบางส่วนมาจากตอน Darkness Fallsบ้าง The Sound and the Fury บ้าง และอีกหลายๆ ตอนผสมกันอยู่ในภาคนี้" นีล มาร์แชลมาเสริมว่า "อย่าคิดว่ามันเป็นเหมือนเนื้อหาแบบรวมฮิตนะ เราเอาแต่ละเรื่องมาสานต่อให้สอดคล้องกัน จากเรื่องหนึ่งแล้วก็ต่อไปอีกเรื่องหนึ่ง ให้เฮลล์บอยต้องเจอกับสถานการณ์ต่างๆ กันไป"

 

5. ตั้งใจเน้นโทนภาพในหนังให้เหมือนภาพในการ์ตูน



          แนวการเขียนภาพของไมค์ มิกโนล่า ถูกหยิบมาพูดถึงมากในทีมงานสร้างภาพยนตร์ ถึงแนวทางในการสร้างสรรค์ภาพ และ นีล มาร์แชล ก็เป็นคนเสนอแนวคิดว่าควรจะคุมโทนสีในหนังให้ใกล้เคียงกับโทนสีของการ์ตูนให้ได้มากที่สุด "เราพยายามคิดหาหลาย ๆ วิถีทางที่จะคุมโทนสีของหนังให้ได้ แล้วผู้ออกแบบงานสร้าง กับผู้กำกับภาพ ก็มาพร้อมกับชาร์ตสีที่พวกเขาไปถอดสีหลักออกมาจากหนังสือการ์ตูน แล้วก็บอกว่าจะคุมโทนสีในหนังให้ได้ออกมาตามชาร์ตสีนี้" นีล มาร์แชล เล่าต่อว่า "อย่างเช่นบางฉาก ถ้ามีเฮลล์บอยอยู่ในภาพ ก็จะไม่มีอะไรในภาพที่เป็นสีแดงเลย นอกจากเลือด เราพยายามคุมโทนให้ได้แบบนี้ในทุกๆ ฉาก ให้ได้โทนสีเหมือนในหนังสือการ์ตูนได้มากสุดเท่าที่จะทำได้ ถ้ามีสีดำในภาพ ก็จะทำให้ดำสุดๆ ผมชอบทำเงาในภาพให้ดำสนิท"

และในระหว่างการถ่ายทำเรื่องนี้ พอล เคอร์บี้ ผู้ออกแบบงานสร้างก็ยังได้ทำงานใกล้ชิดกับ ไมค์ มิกโนล่า เจ้าของเรื่องเอง ที่คอยให้คำปรึกษาอย่างดีตลอดการถ่ายทำ ซึ่งไมค์ก็เข้าใจถ้าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนบางอย่างให้เหมาะสม และดูดีขึ้น อย่างเช่นตอนที่ออกแบบ "บ้านบาบา ยากา"ที่เป็นบ้านหลังเล็กอยู่บนขาไก่แล้วเดินได้นั้น ภาพที่ออกมาในหนังจะดูแตกต่างจากในหนังสือการ์ตูนเล็กน้อย ในหนังจะเปลี่ยนจากบ้านกลายเป็นหอคอย ซึ่งพอลก็ได้ปรึกษาไมค์ตลอดว่า อะไรคือจุดเด่นหลักของ "บ้านบาบา ยากา" ซึ่งไมค์ก็บอกว่าอยากให้ภายในบ้านมันดูกว้างขวางกว่าที่เห็นจากข้างนอก ซึ่งไมค์ก็แฮปปี้กับผลลัพธ์ที่ออกมา เขายอมรับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจากวิสัยทัศน์ของเขาถ้ามันออกมาดูดีขึ้น

 

6. Hellboy ในเวอร์ชั่นของเดวิด ฮาเบอร์ แตกต่างจาก รอน เพิร์ลแมน อย่างไร



        เรื่องนี้เดวิด ฮาเบอร์ ผู้รับบทเฮลล์บอยในเวอร์ชั่นใหม่ออกมาอธิบายด้วยตัวเอง "ผมพยายามไม่คิดว่าเอาตัวเองไปแข่งกับรอน เพิร์ลแมนนะ ผมต้องการแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างผมกับรอน เพิร์ลแมน ในฐานะนักแสดง ผมก็รู้สึกตื่นเต้นนะ เพราะว่าผมต้องหาแนวทางของตัวเอง ผมไม่สามารถแสดงในแบบของรอน เพิร์ลแมนได้" เดวิด ฮาเบอร์ เสริมต่อว่า "เฮลล์บอยในเวอร์ชั่นของรอน เพิร์ลแมนนั้น เขามาพร้อมอารมณ์ขันในตัว แต่ก็ยังมีภาระหน้าที่ผูกพันที่ต้องออกไปจัดการกับบรรดาสัตว์ประหลาดและสิ่งชั่วร้ายบนโลกนี้ ส่วนเฮลล์บอยในเวอร์ชั่นของผมนั้นพยายามสื่อให้เห็นถึง เฮลล์บอยที่เป็นมนุษย์ประหลาดต้องอยู่นอกสังคม คล้ายๆ กับแฟรงเคนสไตน์อย่างนั้นล่ะ เป็นพวก "เกลียดตัวเอง" ซึ่งบทหนังก็เจาะลึกลงไปในตัวตนของเฮลล์บอยทำให้โทนหนังยิ่งมืดหม่นขึ้น เขาเป็นมนุษย์ประหลาดที่ผ่านความเจ็บช้ำมามาก แล้วสุดท้ายก็ฉุกคิดว่าควรจะลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ถูกต้องเสียที"

 

7. Hellboy มีรูปร่างแบบนักมวยด้วยศิลปะการต่อสู้แบบผสม



         โจเอล ฮาร์โลว์ ช่างแต่งหน้าเทคนิคพิเศษ เป็นผู้มารับผิดชอบการแปลงโฉมเดวิด ฮาเบอร์ ให้กลายเป็นเฮลล์บอย ในเวอร์ชั่นนี้ที่ดูน่ากลัวมากขึ้น โจเอล ก็ดำเนินตามนโยบายของทีมงานภาคนี้เช่นกัน ที่ต้องยึดถือภาพลักษณ์แนวทางให้ตรงต่อการ์ตูนต้นฉบับให้มากที่สุด "เรากลับไปดูการ์ตูนต้นฉบับ แล้วพินิจพิเคราะห์ภาพของไมค์ มิกโนลา และเราไม่ได้ยึดติดแค่กับภาพต้นฉบับเพียงเท่านั้น แต่วิเคราะห์รวมไปถึงวิธีการดำเนินชีวิตในแต่ละวันของเฮลล์บอยด้วย ซึ่งผมพยายามต่อยอดไปจากการ์ตูนต้นฉบับ แต่ยังต้องคุมให้กลมกลืนกับเนื้อหาไว้ แล้วก็พยายามนึกหาเหตุผลว่าทำไมเขาต้องมีขนตามแขนขา และบนหน้าอก ในการ์ตูนบรรยายไว้ว่าเฮลล์บอยมีรูปร่างเหมือนนักมวยMMA ทำให้เขามีแผลเป็นตามร่างกายมากมาย ก็น่าจะเหมือนมนุษย์เราทั่วไปนี่ล่ะ ใช้ชีวิตธรรมดาก็ยังมีแผลเป็นอยู่บ้าง แต่อย่างเฮลล์บอยนี่ก็ต้องมีมากเป็นพิเศษ"

 

8. ภาคนี้มีวายร้ายเป็นหญิงผู้ทรงพลังอำนาจ



       เพราะว่าเนื้อหาภาคนี้อิงมาจากตอน The Wild Hunt ตัวร้ายในภาคนี้ก็เลยต้อง "ราชินีเลือด" หรือ  Queen of blood บางครั้งก็ถูกเรียกว่า the Lady of the Lake เป็นแม่มดที่ทรงพลังที่สุดจากประเทศอังกฤษ เธอโผล่มามีบทบาทหลายครั้งในเวอร์ชั่นการ์ตูน Hellboy และในเวอร์ชั่นภาพยนตร์นี้ก็ได้ มิลลา โจโววิช จาก Resident Evil มารับบท ในฐานะตัวร้ายหลักของเรื่องนี้ นีล มาร์แชล ผู้กำกับต้องพยายามสื่อตัวตนของ ราชินีเลือด ให้คนดูรู้สึกความทรงพลังให้ได้ ต้องให้เห็นว่าเธอเป็นคู่ปรับที่น่ากลัวและสามารถรับมือกับเฮลล์บอยได้  นีลเล่าความรู้สึกว่า "มันเป็นโจทย์ที่ยากครับ เฮลล์บอยมีภาพลักษณ์ที่โดดเด่นมาก เขาตัวใหญ่ เขาเป็นสัตว์ประหลาดที่มีร่างสีแดง แล้วนึกภาพนะ ตรงหน้าเขามี มิลลา โจโววิชยืนประจันหน้าอยู่ แล้วต้องสื่อให้เห็นถึงพลังอำนาจของเธอผ่านมาในทุกๆ คำพูดและแววตาของเธอ ผ่านมาในทุกย่างก้าวของเธอ แล้วมิลล่าก็ทำได้ เธอช่างมหัศจรรย์จริงๆ เธอดูมีความสุข สนุกไปกับการทำงาน แล้วเธอก็สามารถส่งมอบพลังผ่านการแสดงของเธอให้เรารู้สึกได้"

 

9. เน้นการใช้ของจริง ไม่ใช่ซีจี



          อย่างหนึ่งที่แตกต่างจากกองถ่ายหนังซูเปอร์ฮีโร่ในยุคสมัยนี้ที่เน้นงานซีจีเป็นหลัก แต่กับผู้กำกับนีล มาร์แชล เขาเลือกที่จะใช้ซีจีให้น้อยที่สุด "อะไรที่สามารถทำขึ้นได้จริง ผมจะพยายามเลือกใช้ก่อน ถ้าสุดความสามารถแล้วผมค่อยให้งานซีจีเข้ามาช่วยเหลือ แน่นอนล่ะว่าซีจีสะดวกและง่ายดายกว่ามากถ้าคุณยอมรับมัน แต่จะดีกว่าถ้าเราเลือกใช้อะไรที่มันมีชีวิตและจับต้องได้จริง ผมเคยไปเยี่ยมชมกองถ่ายมามากมาย แต่ละกองก็จะเต็มไปด้วยฉากเขียวที่รอจะไปใส่ภาพซีจี แต่ในกองถ่าย Hellboy คุณจะเห็นมันน้อยมาก แต่กลับกันที่นี่จะเต็มไปด้วยโรงงานที่เต็มไปด้วย ชิ้นส่วนของตัวประหลาดที่น่าเกลียดน่ากลัว ที่ทำจากโฟมลาเท็กซ์"

 

10. อาจเป็นการเริ่มต้นของ"จักรวาลมิโนลา"



         นับถึงวันนี้ Hellboy ก็ถือกำเนิดมา 25 ปีแล้่ว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไมค์ มิกโนลา ก็ได้สร้างตัวละครประหลาดๆ ไว้มากมายในเรื่อง Hellboy นี้ นอกเหนือจากตัวเฮลล์บอย ก็มี เอป ชาเปียน เพื่อนคู่หูของเขาที่คนดูพอจะจดจำได้จากหนัง 2 ภาคก่อน แต่ก็ยังมีตัวละครน่าสนใจอีกมากที่ยังไม่ถึงคิวได้ปรากฏตัวบนจอใหญ่ ทั้ง ลอบเสตอร์ จอห์นสัน , วิตช์ไฟน์เดอร์ และสมาชิกอีกมากใน "หน่วยงานสืบสวนและป้องกันเหตุเหนือธรรมชาติ  Bureau for Paranormal Research  and Defense ซึ่งลอยด์ เลวิน ผู้อำนวยการสร้างก็เห็นชอบกับไอเดียนี้ ตอนนี้ก็ได้แต่คาดหวังว่า Hellboy (2019) จะประสบความสำเร็จ และเป็นบันไดก้าวสำคัญที่จะพาไปสู่ "จักรวาลมิโนลา" ที่มีตัวละครน่าสนใจอีกมากรออยู่

เตรียมพบกับ HELLBOY ผ่านวิสัยทัศน์ของผู้กำสายสยองขวัญ นีล มาร์แชล ที่ภูมิใจกับเวอร์ชั่นนี้ที่ได้เรต R ดูกันซิว่ารอบนี้จะโหดและดาร์คได้สะใจขนาดไหน 11 เมษายน นี้รับสงกรานต์

 

ตัวอย่างภาพยนตร์