เปิดตำนาน ลา โลโรนา ปีศาจสยองตัวใหม่ในจักรวาล The Conjuring
หลังจากหากินกับผีเก่าใน The Conjuring มาแล้วยาวนานทั้ง The Nun และ Annabelle ที่กำลังจะมีภาค 3 แล้วก็ The Crooked Man ที่มีการประกาศไว้ว่าจะเป็นผีตัวต่อไปที่จะมีหนังของตัวเอง และแล้วเจมส์ วาน ก็ปล่อยผีสาวตัวใหม่ในชื่อ ลา โลโรนา ออกมาสร้างความสยองใส่คนดูใน The Curse of La Llorona ในบ้านเราจะเข้าฉายในชื่อ "The Cures of The Weeping Woman - คำสาปมรณะจากหญิงร่ำไห้" กำหนดฉาย 18 เมษายน นี้ และจะเป็นผีตัวแรกในจักรวาล The Conjuring ที่เปิดตัวด้วยหนังเดี่ยวของตัวเอง แล้วค่อยติดตามกันว่าเธอจะไปโผล่ใน The Conjuring ภาค 3 นี้หรือไม่ เพราะว่า บาทหลวงเปเรซ ตัวละครหนึ่งใน Annabelle (2014) ก็มาปรากฏตัวใน The Curse of La Llorona ด้วยและยังเอ่ยถึงวีรกรรมในอดีตว่าเขาเคยปราบผีที่สิงในตุ๊กตามาแล้ว
บทบาทของบาทหลวงเปเรซใน Annabelle (2014)
ไมเคิล ชาเวส ผู้กำกับหน้าใหม่ที่ได้มากำกับ The Curse of La Llorona แล้วด้วยผลงานที่สร้างความสยองได้เหนือชั้น ถึงขั้นที่ว่าเจมส์ วาน ไว้ใจให้สานต่อโปรเจ็คต์รักอย่าง The Conjuring 3 ที่เขาเป็นผู้กำกับภาค 1 และ 2 เอง แต่มอบหมายให้ ไมเคิล ชาเวส เป็นผู้กำกับภาค 3 นี้แทนเขา ก็อาจจะมีลุ้นว่า ผีลา โลโรนา อาจจะโผล่มามีบทบาทใน The Conjuring 3 นี้ก็เป็นได้แต่กว่าจะได้ดู The Conjuring 3 อย่างเร็วก็ปี 2020 เพราะหนังมีกำหนดเปิดกล้องภายใน 2-3 เดือนจากนี้ ถึงตอนนี้เรามาทำความรู้จักกับผีสาว ลา โลโรนา กันก่อน เพื่อเพิ่มอรรถรสก่อนไปสยองกับหนังเดี่ยวของเธอ ที่กำลังจะเข้าฉายหลังสงกรานต์นี้ ในหนัง The Curse of La Llorona จะย้อนไปเล่าเรื่องราวที่เกิดในยุค 1970s แอนนา สาวนักสงคมสงเคราะห์ที่ไปทำงานในเม็กซิโกแล้วต้องไปตกอยู่ท่ามกลางอาถรรพ์พยาบาทของลา โลโรนา ทำให้ลูกๆ ทั้ง 2 ของเธอตกเป็นเป้าหมายของวิญญาณร้าย ลา โลโรนา ดูตัวอย่างแล้ว หลอนไม่แพ้เรื่องอื่นในจักรวาล The Conjuring เลยล่ะ
ลา โลโรนา เป็นชื่อที่ไม่คุ้นในบ้านเรา แต่สำหรับชาวอเมริกาใต้นี่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามนี้กันเป็นอย่างดี เพราะเธอเป็นผีพื้นเมืองที่มีตำนานมายาวนาน ประมาณผีนางนาคบ้านเรานี่ล่ะ คนแถบนั้นก็ชอบใช้ผีขู่เด็กๆ เหมือนบ้านเรานี่ล่ะ เวลาเด็กๆ วิ่งเล่นตอนค่ำแล้วไม่กลับบ้านสักที บรรดาแม่ๆ ก็จะขู่เด็กว่า "วิ่งเล่นมืดค่ำไม่เข้าบ้าน เดี๋ยวผี ลา โลโรนา ก็มาจับไปหรอก" เรียกว่าได้ผลชะงัด เพราะผี ลา โลโรนา นี่รู้จักกันในกิติศัพท์ว่าเป็นผีที่ชอบจับเด็กไป เพราะเธอเป็นผีที่โหยหาลูกของตัวเอง ตามตำนานเธอมีลูก 2 คน แล้วลูกของเธอตาย พอเธอเป็นผี เธอก็ออกตามหาลูก
ตามตำนานเล่าว่าผี ลา โลโรนา จะปรากฏตัวในผ้าคลุมสีขาว ร่างของเธอจะอยู่ตามริมฝั่งน้ำ ร้องโหยหวนว่า "¡Ay, mis hijos!" แปลเป็นไทยว่า "โอ้ว ลูกรักของฉัน" ถ้าผี ลา โลโรนา จับเด็กได้ เธอจะทึกทักว่าเป็นลูกของเธอ แล้วจะเอาเด็กที่จับได้ไปกดน้ำให้ตาย เป็นผีที่ใจร้ายมาก การปรากฏตัวของ ลา โลโรนา ยังมีลูกเล่นที่น่ากลัวอีกด้วย ตามตำนานว่า ถ้าได้ยินเสียงของเธออยู่ใกล้ๆ ตัว แปลว่าร่างของเธอยังอยู่ไกล แต่ถ้าได้ยินเสียงเธอลอยมาไกลๆ นั่นล่ะน่ากลัว เพราะร่างของเธอจะอยู่ใกล้ ๆ เราแล้ว ถ้าใครได้เห็น ลา โลโรนา นี่ถือว่าโชคร้ายมาก บางทีก็ว่ากันว่า เป็นคนมีเคราะห์ถึงฆาตเลยเชียวล่ะ
เรื่องราวของ ลา โลโรนา เป็นตำนานพื้นบ้านเล่าขานกันมานานในแถบลาตินอเมริกาไม่รู้ว่ามีจุดกำเนิดมาตั้งแต่ปีใด และตามธรรมเนียมของเรื่องราวปรัมปรามักจะเจอต้นกำเนิดตำนานหลายเรื่องราวแตกต่างกัน ในบทความนี้จะหยิบตำนานหลัก ๆ มาให้อ่านกันแบบสั้นๆ ครับ
ตำนานของ ลา โลโรนา เคยสร้างเป็นหนังฉายโรงและทีวีมาแล้วหลายครั้ง
ตำนานแรกบอกว่า ลา โลโรนาม เป็นสาวงามเลอโฉมอยู่ในหมู่บ้านชนบท ตอนเป็นคนเธอมีชื่อว่า "มาเรีย" ครอบครัวของเธอยากจนมาก แต่คนทั้งหมู่บ้านต่างก็รู้จักเธอดี ด้วยเหตุจากความสวยจนเป็นที่ร่ำลือของเธอนั่นเอง วันหนึ่งมีชายสูงศักดิ์รูปงามจากครอบครัวร่ำรายขี่ม้าผ่านมาในเมือง แล้วเขาก็ตะลึงงันกับความสวยของมาเรีย ส่วนมาเรียเองก็ตกตะลึงกับรูปโฉมของชายสูงศักดิ์เช่นกัน เมื่อทั้งคู่พึงพอใจในรูปโฉมของกันและกันจึงไม่ต้องใช้เวลานานในการสานสัมพันธ์ ชายสูงศักดิ์รีบขอมาเรียแต่งงาน ซึ่งเธอก็ตอบตกลงทันที เมื่อมาเรียได้สามีที่ร่ำรายและสูงศักดิ์ ครอบครัวของมาเรียต่างโห่ร้องยินดี ตรงกันข้ามกับพ่อของฝ่ายชายที่โกรธเคือง เพราะลูกไปได้เมียเป็นสาวยากจน แต่ความรักของหนุ่มสาวยากจะขวัดขวาง ชายสูงศักดิ์ตัดสินใจปลูกบ้านและตั้งรกรากอยู่กับมาเรียที่หมู่บ้านนี้เพื่อให้ห่างจากพ่อของเขาที่ไม่เห็นชอบด้วย
ทั้งคู่ครองรักกันอยู่ไม่นาน มาเรียก็ให้กำเนิดลูกน้อยมา 2 คน แต่แล้วสามีของเธอก็เริ่มออกเดินทางติดต่อธุระการงานบ่อยขึ้น กลับมาอยู่บ้านไม่นานแล้วก็ออกเดินทางอีก เป็นอย่างนี้อยู่บ่อยครั้งเริ่มมีเวลาให้ครอบครัวน้อยลง เวลากลับมาบ้านก็เล่นกับลูกๆ แต่ไม่ค่อยสนใจใยดีมาเรีย ทำให้เธอรู้สึกได้ว่าสามีของเธอเริ่มปันใจห่างจากเธอแล้ว ในที่สุดสิ่งที่เธอคาดการณ์ก็เป็นจริงสามีเธอกลับมาบ้านพร้อมกับหญิงสาวคนใหม่ เขากลับมาเพื่อบอกลาลูกๆ ทั้ง 2 โดยไม่สนใจใยดีมาเรีย การกระทำของสามี ทำให้มาเรียเสียใจอย่างรุนแรง เธอลากลูกทั้ง 2 ไปที่แม่น้ำแล้วด้วยความเดือดดาลจนหน้ามืดตามัวจับลูกทั้ง 2 กดน้ำจนตาย แต่เมื่อสติกลับมาเธอก็ร่ำไห้เสียใจในสิ่งที่เธอทำลงไป เริ่มควานหาศพของลูกทั้ง 2 แต่แม่น้ำ ก็พัดร่างลูกๆ ออกไปไกลแล้ว เธอก็ออกตามหาลูกด้วยความเสียใจ วันรุ่งขึ้นมีคนพบศพของมาเรียนอนตายอยู่ริมฝั่งน้ำ แต่วิญญาณของเธอก็ไม่พบความสงบสุข เมื่อไปถึงประตูสวรรค์ ยมทูตเฝ้าประตูสวรรค์ถามเธอว่าร่างของลูกๆ เธออยู่ที่ไหน ถ้ามาเรียยังหาร่างของลูกๆ ไม่ได้ เธอก็ไม่สามารถผ่านเข้าประตูสวรรค์ไปได้ ด้วยเหตุนี้ทำให้มาเรียกลายเป็นสัมภเวสีที่ต้องเร่ร่อนตามหาลูกๆ ต้องเป็นวิญญานที่ตกค้างอยู่บนโลกคนเป็นเพื่อตามหาร่างของลูกๆ ของเธอต่อไปชัวกัปชั่วกัลป์
ยังมีตำนานอื่นๆ อีกมากที่เล่าเกี่ยวกับ ลา โลโรนา
- ในเม็กซิโก จะรู้จักตำนานของ ลา โลโรนา ในชื่อว่า "ลา มาลินเช" เธอเป็นสาวชาวนาฮัว (ชนพื้นเมืองในเม็กซิโก) มาลินเช เป็นล่ามให้กับ เอร์นัน กอร์เตส เป็นนักทำแผนที่ นักสำรวจ ชาวสเปน และยังเป็นผู้พิชิตจักรวรรดิแอซเท็กซึ่งอยู่บริเวณประเทศเม็กซิโก
ในปัจจุบัน เพื่อราชบัลลังก์สเปน ซึ่ง ลา มาลินเช ก็เป็นเมียน้อยของ เอร์นัน อีกด้วย และเธอให้กำเนิดบุตรกับเขา แต่สุดท้ายเอร์นันก็ทิ้งเธอ เพื่อกลับไปแต่งงานกับหญิงชาวสเปน ตามตำนานนี้ไม่ได้กล่าวว่า ลา มาลินเช ได้สังหารลูกของเธอเอง แต่ก็สร้างความอาฆาตพยาบาทให้กับเธอ
- อีกตำนานจากชาวชูมาช ชนพื้นเมืองอเมริกันที่อยู่ในแถบแคลิฟอร์เนียตอนใต้ ก็มีเรื่องเล่าที่เกี่ยวพันกับตำนาน ลา โลโรนา เช่นกัน ชาวชูมาช จำกัดความของ ลา โลโรนา ว่าเป็น "nunašɨš" (เป็นสิ่งน่ากลัวจากต่างโลก) ชูมาส จะเรียก ลา โลโรนา ว่า มาซูลอว์ (maxulaw) หรือ มามิสมิส (mamismis) ตามตำนานของชูมาส บอกว่า มาซูลอว์ หรือ มามิสมิส จะส่งเสียงร่ำไห้มาจากภายในต้นไม้ ถ้าใครได้ยินเสียงร่ำไห้นี้ นั่นคือลางบอกเหตุถึงความตาย มาูซูลอว์ หรือ มามิสมิส จะเป็นสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างคล้ายแมวปกคลุมร่างด้วยหนังสัตว์ดิบที่ยังไม่ได้ฟอก
ภาพของ ลาเมีย ตามจินตนาการของศิลปิน
- ตำนานกรีกโบราณเรื่องราวของ "ลาเมีย" มนุษย์กึ่งเทพก็มีตำนานที่มีเรื่องราวคล้ายคลึงกับ ลา โลโรนา อยู่บ้าง , เมื่อเทพซีอุสคบหาในเชิงชู้สาวกับลาเมีย และรู้ไปถึงหูของ เฮร่า เทพแห่งการแต่งงานที่เป็นภรรยาของซีอุส เฮร่าโกรธแค้นอย่างหนัก จึงทำการฆ่าลูกๆ ของลาเมียที่เกิดกับซีอุสทั้งหมด ด้วยความเสียใจจนเสียสติ ลาเมียก็เลยเที่ยวขโมยลูก ๆ ของชาวบ้านแล้วทึกทักว่าเป็นลูกของตน กรีกยังมีอีกตำนานที่คล้ายคลึงกันเป็นเรื่องราวของ "มีเดีย" ภรรยาของ เจสัน จากตำนานและหนังคลาสสิกเรื่อง Jason and the Argonauts (อภินิหารขนแกะทองคำ) ,เจสันทิ้งเธอไปหาหญิงใหม่ มีเดียเลยคลุ้มคลั่งและตามสังหารลูกๆ ของเจสันที่เกิดกับหญิงอื่นทิ้งทั้งหมด
- ตำนานอันกว้างขวางของ ลา โลโรนา ที่เชื่อมโยงไปในหลายๆ อาณาเขต สร้างความสนใจให้กับ เบนจามิน แรดฟอร์ด นักประพันธ์ เขาเลยทำการค้นคว้าข้อมูลและเขียนออกมาเป็นหนังสือชื่อ Mysterious New Mexico ออกวางจำหน่ายเมื่อปี 2014 ในหนังสือนี้เล่าเรื่องราวของลา โลโรนา ตั้งแต่เม็กซิโกเชื่อมโยงไปถึงตำนานของชาวเยอรมัน ย้อนอดีตไปจนถึงปี 1486
ด้วยความน่ากลัวของ ลา โลโรนา และเป็นตำนานที่คนวงกว้างทางแถบอเมริกาใต้รู้จักกันดี เรื่องราวของเธอจึงถูกสร้างเป็นหนังโรงและหนังทีวีหลายต่อหลายครั้ง ทางสถานี NBC ก็เคยทำสารคดีเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเธอ แต่มาจนถึง The Curse of La Llorona ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ผีลา โลโรนา จะถูกเล่าในหนังฟอร์มใหญ่ภายใต้ชื่อของเจมส์ วาน และจะเป็นการหยิบยกตำนานของ ลา โลโรนา ให้ระบือลือลั่นไปทั่วโลก จากนี้ชื่อของ ลา โลโรนา ก็จะไม่รู้จักกันแค่ในแถวบอเมริกาใต้อีกต่อไป
ตัวอย่างภาพยนตร์