6 เรื่องของ Bohemian Rhapsody จากผู้อำนวยการสร้าง

Movie News1 พฤศจิกายน 2561

           หลายๆ คนน่าจะเคยรู้จักหรือเคยได้ยินชื่อของร็อคเกอร์ในตำนานอย่างเฟร็ดดี้ เมอร์คูรี่ หนึ่งในสมาชิกวง Queen กันมาบ้างแล้ว ไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตาของเขาเท่านั้นที่ทำให้เขากลายเป็นศิลปินขวัญใจแฟนๆ แต่เสียงอันทรงพลังและการแต่งกายที่มีสีสันบาดตามันก็ช่วยให้เขากลายเป็นบุคคลที่น่าจดจำไม่แพ้กัน และตอนนี้ชีวประวัติที่น่าสนใจของเขาก็กำลังถูกหยิบขึ้นมาถ่ายทอดให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จักกันบนจอยักษ์ในภาพยนตร์เรื่อง Bohemian Rhapsody จากฝีมือกำกับของไบรอัน ซิงเกอร์ โดยมีรามี มาเลค จากซีรี่ย์ Mr. Robot มารับหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวของเมอร์คูรี่

ผู้อำนวยการสร้าง "กราแฮม คิง" ได้เล่าถึงที่มาของ "Bohemian Rhapsody" ไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้

 

1. สิ่งที่ทำให้เรื่องราวมีความตื่นเต้น



             เราถ่ายทอดให้เห็นถึงการแต่งเพลงของพวกเขา ซึ่งหาได้ยากมากในหนังแนวนี้ ซึ่งผมคิดว่านี่คือสิ่งที่ผู้ชมจะสนุกไปด้วย มันไม่ใช่แค่เรื่องราวของพวกเขา ไม่ใช่แค่เรื่องของเฟรดดี้ แต่มีวิธีการสร้างเสียงนั้นขึ้นมา? พวกเขามารวมตัวกันได้ยังไง? นี่เป็นไอเดียของใคร อย่างเพลง Bohemian Rhapsody ที่การวิจารณ์อย่างหนักตอนที่ทุกคนปล่อยออกมาครั้งแรก เป็นที่วิจารณ์มากสุดในลอนดอน วิจารณ์กันมากที่สุดจากทั่วโลก จนไม่คิดว่าเพลงจะเป็นที่นิยมได้ อย่าง

เพลงนั้นมีการนำกลับมาสร้างใหม่ยังไง? มันมีที่มายังไง? ไบรอัน โรเจอร์ ดาคีย์ และเฟรดดี้ร่วมกันสร้างเพลงนั้นและให้ความสำคัญกับเพลงนั้นขนาดไหน ผมคิดว่าช่วงสำคัญของการเล่าเรื่องราวในหนังของเราคือเพลงของพวกเขา และเรามุมชีวิตส่วนตัวของเฟรดดี้ ซึ่งผมเชื่อว่าเรามีครบทุกเรื่องสำหรับทุกคน คุณจะรู้สึกได้ว่ามันมีความสมดุลอยู่ในเรื่อง จะไม่มีแค่เรื่องดนตรีและเรื่องราวดราม่า คุณจะต้องรักษาสมดุลของเรื่องเอาไว้

 

2. สิ่งที่ทำให้เพลงของควีนเป็นอมตะ



            พวกเขาเขียนเพลงแห่งการสดุดีเหล่านี้ขึ้นมา จริงมั้ยครับ? มันนำทุกคนมารวมตัวกัน จริงมั้ย? ฉะนั้นถ้าเราอยู่งานกีฬานี่ก็ถือเป็นเรื่องปกติทั่วไป แต่เราอยู่ในงานกีฬาไม่ว่าที่ใดของโลก และได้ยินเพลง We Are the Champions เราอดที่จะปรบมือและร้องเพลงไปกับคนข้างๆ ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ที่นี่ความรู้สึกที่ผมอยากถ่ายทอดให้เห็นในหนัง อยากให้ทุกคนเดินออกจากเรื่องนี้และกอดคนที่อยู่ขางๆ ร้องเพลงวงควีนไปพร้อมกัน ทั้ง We Will Rock You, We Are the Champions, Bohemian Rhapsody เพลงทั้งหมดนี้มีพลังมาก จนเราอดที่จะยิ้มไม่ได้ และผมรู้สึกว่าถ้าถ่ายทอดสิ่งนั้นไปบนภาพยนตร์จอยักษ์ได้ ถ่ายทอดเรื่องราวของเฟรดดี้ในมุมต่างๆ ความสะเทือนใจในเรื่องราวของเขา เราจะไหนังที่ผู้ชมทุกคนสามารถเข้าไปดูอย่างเพลิดเพลินได้ ผมอยากให้พ่อแม่พาลูกไปดูเรื่องนี้ เพราะเด็กส่วนใหญ่รู้จักเพลงของควีนน แต่พวกเขาไม่รู้จักวงควีนและเฟรดดี้

 

3. ทำไมถึงเป็นโปรเจ็กต์ที่ชอบเป็นการส่วนตัว



          สำหรับผมการสร้างเรื่องราวที่ถูกต้องถือเป็นเรื่องสำคัญมากครับ และเพื่อให้ผู้ชมทุกคนไม่ว่าจะเป็นเพศไหน เชื้อชาติไหน มาจากที่ไหนได้มีช่วงเวลาที่กลับมารวมตัวกัน และมีสิ่งหนึ่งในเพลงของควีนที่หาไม่ได้จาก The Beatles หรือ Rolling Stones หรือวงเหล่านี้ที่หาไม่ได้คือความผ่อนคลายเวลาได้ยิน พวกเขารู้ดีว่าต้องเล่นออกมาแบบไหน และผมคิดว่าไบรอัน โรเจอร์ ดาคีย์ และเฟรดดี้เป็นอัจฉริยะมากที่รวมช่วงเวลาเหล่านั้นไว้ ขณะที่เพลง We Are the Champions ก็มีผลต่อความรู้สึกมาก จริงมั้ยครับ? เราไม่มีทางคิดถึงเรื่องนั้นจนกว่าเราจะหยุดและกลับไปคิดถึงมัน ผมอยู่ที่บาร์เซโลน่าเพื่อไปดูบอล มีคนนับแสนร้องเพลง We Are the Champions ทุกคนถึงกับน้ำตาซึม มันไม่ใช่เพลงเศณ้า แต่เข้าถึงความรู้สึก และทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย เวลาที่ทุกคนมารวมตัวกันใน Radio Gaga ซึ่งงาน Live Aid ที่ยิ่งใหญ่ ทุกคนหยุดและรอ 1 นาที ความพิเศษบางอย่างก็เกิดขึ้น มีผู้คนนับแสนปรบมืออย่างพร้อมเพรียงกัน ตอนนั้นมาอยู่ที่สหราชอาณาจักร แน่นอนว่าเราโตมาพร้อมกับสิ่งนั้น แต่ไม่ใช่สำหรับคนอื่นที่เหลือในโลก พวกเขาได้เห็นเป็นครั้งแรกว่าการไปคอนเสิร์ตเป็นแบบไหน และมีการโต้ตอบกันกับคนที่อยู่ข้างๆ นั่นคือสิ่งที่เฟรดดี้ต้องการ และเป็นสิ่งที่วงต้องการ

 

4. การคัดเลือกตัวรามี่ มาเล็ค



ผมสั่งเทคอยู่ 2 รอบ ผมไม่รู้จักเขาจริงๆ ครับ ผมเคยดูเรื่อง Mr Robot แต่ผมไม่เคยดูผลงานอื่นของเขา ผมไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเขามาจากแคลิฟอร์เนีย ไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับเขาหรืออะไรเลย พอเขาเข้ามาผมก็พูดว่า "โว้ว นี่คือเฟรดดี้เลย บุคลิกแบบนี้แหละคือเฟรดดี้" และเขาไม่ได้แค่แสดงออกมา มันมีบางอย่างในตัวเขาที่ออกมาโดยธรรมชาติ เราใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานมาก จนผมเชื่อเลย ผมคุยกับเดนนิสว่า "เขาเขาน่าทึ่งมาก แต่ผมก็ยังไม่อยากจะโดนโน้มน้าวไปอย่างเต็มตัว" ผมคิดว่าเดนนิสโทรหาเขาและบอกว่า "คุณคงต้องบันทึกภาพตัวเองแล้วล่ะ" แล้วเขาก็ทำการสัมภาษณ์เป็นเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่บนไอโฟน พวกเขาส่งมาให้ผมและผมบอกว่า "โอ้ พระเจ้า คนนี้แหละ เราเจอเขาแล้ว"

 

5. การถ่ายทำฉาก Live Aid ในเทคเดียว



          เราพูดว่า "โอเค แสดงออกไปเลยเต็มที่ เก็บภาพทั้งฉากแบบที่ควีนแสดงเลย" และผมคิดว่าเราทำได้ ผมจำไม่ได้ว่ากี่เทค แต่ก็ยาวจนไปถึงช่วงกลางคืน เรามีทั้ง 4 คนที่ต้องบอกอีกครั้งว่านี่ไม่ใช่การแสดงเป็นควีน มันสัมผัสได้ถึงตัวละครเหล่านั้น มีความเข้าถึงตัวละคร และแสดงฉากทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ และมีพลังอย่างต่อเนื่องไม่หยุด รู้สึกสนุกกันจนไม่มีใครอยากหยุด ผมจำตอนที่เราจะปิดกองได้ เราต้องกลับบ้านกันแต่มันวิเศษมาก และการมีไบรอันกับโรเจอร์อยู่ที่นั่น พวกเขาดูตัวละครเหล่านี้ ได้มองย้อนความทรงจำของพวกเขา ได้ย้อนกลับไปหา Live Aid ไบรอันบอกกับผมว่า "พวกเราเล่นดีขนาดนั้นเลยหรอ?" มันน่าทึ่งมากครับที่ได้ยินไบรอัน เมย์พูดแบบนั้น

 

6. เหตุผลที่เขาเชื่อมั่นในภาพยนตร์



            เอ-โอ ใช่มั้ย? สำหรับผมคือตลอดเวลาเลย ถ้าเราสามารถถ่ายทอดภาพนั้นได้ในโรง โดยมีคน 250 คนปรบมือ กระทืบเท้า ร้องไปพร้อมกับเพลงที่พวกเขารู้จักดี โตมาพร้อมกับเพลงนั้น และความทรงจำของแต่ละเพลงที่ทุกคนมี นั่นคือประสบการณ์แห่งการดูหนังเลยครับ นั่นล่ะเหตุผลที่ผมอยากไปดูหนัง ผมไม่อยากไปดูหนังอย่างเดียว อยากไปสัมผัสบรรยากาศนั้นด้วย และถ้าเราทำได้ ซึ่งสำหรับผมมันคือตลอดเวลา ถ้าเราสามารถถ่ายทอดได้ก็ถือว่าเราชนะ และผมคิดว่าเราทำได้แล้ว

"Bohemian Rhapsody" ฉายแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์

 

ตัวอย่างภาพยนตร์