10 หนังที่สร้างจากวีดีโอเกมที่ดีที่สุด
ในฐานะที่ฮอลลีวู้ดเป็นเมืองที่ผลิตหนังเป็นอุตสาหกรรมหลัก แต่ละปีมีหนังออกมานับพันเรื่อง จำเป็นต้องหาวัตถุดิบต่าง ๆ นานาให้แปลกใหม่ ไม่ซ้ำและไม่ย่ำอยู่กับที่ จึงต้องหาวัตถุดิบมากมายมาพัฒนาเป็นหนัง ทั้งดัดแปลงจากทีวีซีรีส์ ซื้อลิขสิทธิ์นิยายขายดีมาสร้างเป็นหนัง ชีวประวัติคนดัง หรือเรื่องราวจากประวัติศาสตร์ และแม้กระทั่งวีดีโอเกมที่ฮิต ๆ ทั้งที่เนื้อหาในเกมก็ไม่ได้มีเรื่องราวมากมายนัก แต่ด้วยเหตุที่ว่าบางเกมก็มีแฟนๆ ของเกมนั้นอยู่มาก และคาดหวังว่าแฟนเกมเหล่านี้จะตามมาดูหนังด้วย และแม้แต่คนที่ไม่เคยเล่นเกมแต่ด้วยความดังของเกมก็อาจจะดึงความสนใจจากผู้ชมได้วงกว้าง ทำให้ลดโอกาสเสี่ยง และประหยัดงบในการประชาสัมพันธ์ไปได้มากโข แต่กระนั้นหนังจากเกมก็เป็นแนวที่ฮอลลีวู้ดว่ากันว่า "ต้องคำสาป" เพราะน้อยเรื่องมากที่จะประสบความสำเร็จ มองกันที่ว่าได้กำไรจริงก็เห็นจะมีแต่ Tomb Raider ในเวอร์ชั่นแองเจลิน่า โจลี่ หลังจากนั้นหนังที่สร้างจากวีดีโอเกมก็ซาลงไปมาก จนกระทั่ง Warcraft ที่ไปทำกำไรในจีนแบบถล่มทลายกลายเป็นว่า Warcraft สามารถล้างอาถรรพ์หนังจากเกมได้สำเร็จ ทำให้ฮอลลีวู้ดเกิดมีความหวังกับหนังจากวีดีโอเกมอีกครั้ง
แม้ว่า Tomb Raider เวอร์ชั่นใหม่ก็ยังไปไม่ได้ถึงจุดน่าพอใจนัก เราก็ยังคงได้เห็น Rampage หนังจากวีดีโอเกมที่ใช้ทุนสูงและผู้สร้างก็มั่นอกมั่นใจ ถึงเอามาประเดิมฤดูซัมเมอร์ปีนี้กันเลย หลายๆ คนทีเห็นตัวอย่างต่างก็ให้ความสนใจ เพราะหนังมีทั้งคิงคองยักษ์ จระเข้ยักษ์ และ หมาป่ายักษ์ที่เหาะได้มาฟาดฟันกันเมือง ในขณะที่ผู้ชมส่วนใหญ่ก็ไม่รู้มาก่อนด้วยซ้ำว่า Rampage นี่ก็คือหนังที่มีต้นฉบับเป็นวีดีโอเกมเช่นกัน เหตุหนึ่งเพราะว่า Rampage เป็นเกมรุ่นเก่าที่ออกมาตั้งแต่ยุค 80s นู่น ซึ่งเกมต้นฉบับก็ไม่ได้มีเนื้อหาอะไรมาก หนังจึงยึดแค่ 3 ตัวละครหลักจากเกม คิงคอง หมาป่า และ จระเข้ให้มาโลดแล่นกันบนจอ ทำลายบ้านเมืองกันให้ถล่มทลาย และมีดเวย์น จอห์นสัน มาใช้เป็นชื่อขาย แต่ก่อนที่จะถึงกำหนดฉาย 12 เมษายน นี้ ผู้เขียนก็ขอย้อนอดีตเอารายชื่อหนังสร้างจากเกม 10 เรื่อง ที่บรรดานักวิจารณ์ยกให้ว่าดีที่สุดท่ามกลางหนังสร้างจากวีดีโอเกมนับ 100 เรื่องที่เคยสร้างกันออกมา ดูกันซิว่ามีเรื่องอะไรบ้าง เผื่อไปหามาดูกันนะ
1. Final Fantasy: The Spirits Within (2001)
ผู้กำกับ : ฮิโรโนบุ ซาคากูชิ , โมโตโนริ ซาคาคิบารา
ให้เสียงพากย์ : วิง ราเมส , โดนัลด์ ซูเธอร์แลนด์ , สตีฟ บุสเซมี , อเล็ค บอลด์วิน
ทุนสร้าง : 137 ล้านเหรียญ
รายได้หนัง : 85.1 ล้านเหรียญ
เป็นหนังจากวีดีโอเกมที่อ้างอิงพลอตจากเกมมาแค่คร่าวๆ , Final Fantasy ต้นฉบับเป็นเกมอ้างอิงตามบทบาท (RPG:Role Playing Game)เกมเปิดตัวบนเครื่องเพลย์สเตชั่นและขายดีมาก หนังก็เลยคาดหวังว่าจะประสบ
ความสำเร็จตามตัวเกม นับเป็นหนังเรื่องแรกที่สร้างจากเกม RPG ระดับตำนาน แถมยังได้ทุนสร้างระดับมหาศาล แต่โชคร้ายสำหรับผู้สร้างที่ผลออกมากลายเป็นหนังคว่ำตูมใหญ่บนตารางบ๊อกออฟฟิศ
ข้อดีของหนัง : หนังได้ดาราฮอลลีวู้ดระดับยอดฝีมือทั้งนั้นมาให้เสียงพากย์ ทั้ง อเล็ค บอลด์วิน , สตีฟ บุสเซมี , โดนัลด์ ซูเธอร์แลนด์ และ วิง ราเมส มาพากย์ตัวละครหลักๆ ของหนัง และพวกเขาก็ทำหน้าที่ได้ดี , งานภาพอนิเมชั่นก็ทำได้ยอดเยี่ยม สามารถทำให้ตัวละครจากเกมดูมีชีวิตขึ้นมาบนจอหนัง
ข้อด้อยของหนัง : กำหนดเรื่องราวให้เกิดบนโลกในปี 2065 ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาจากภาคไหนของเกมเลย แทบจะใช้คำว่า"ดัดแปลงเนื้อหา"มาจากเกมไม่ได้เลย และไม่สามารถคงเสน่ห์จากเกมไว้ได้เลย จุดเด่นของเกม Final Fantasy คือ ความสร้างสรรค์ , จินตนาการ , ความหลากหลายของตัวละครที่แต่ละตัวล้วนมีความน่าสนใจ ซึ่งเหล่านี้ไม่ได้มีให้เห็นในเวอร์ชั่นหนังเลย ตัวละครหลัก ๆ ที่เหล่าสาวกรักอย่าง โชโคโบ , ไอฟริต , ชิว่า และ บาฮามัต ก็หายไปหมดสิ้น ถ้าพอจะมีให้เห็นก็คือ CID ที่ในหนังก็แปลงชื่อให้เขียนว่า SID เพื่อให้คนดูสับสนเล่นซะงั้น
2. Silent Hill (2006)
ผู้กำกับ : คริสโตเฟอร์ แกนส์
นักแสดง : ราดา มิตเชลล์ , ลอรี่ โฮลเด็น , ฌอน บีน
ทุนสร้าง : 50 ล้านเหรียญ
รายได้หนัง : 97 ล้านเหรียญ
ข้อดีของหนัง : หนังที่ดัดแปลงมาจากวีดีโอเกมหลายเรื่องมักจะไม่ค่อยเคารพเกมต้นฉบับนัก แต่กับ Silent Hill นั้น ค่อยๆ เดินหน้าไปช้าๆ เนิบๆ และก็ค่อยๆ ก่อบรรยากาศน่าสะพรึงให้กับคนดู และสามารถดึงบรรยากาศความน่ากลัวในเกมมาอยู่ในหนังได้ และแทนที่จะเน้นภาพเลือด หนังกลับเลือกเล่นกับความเข้าใจคนดูให้สับสนว่าฉากนี้คือเหตุจริง หรือภาพหลอนกันแน่ งานออกแบบการสร้างทำได้อย่างปราณีตและน่าประทับใจสุดในกลุ่มหนังที่สร้างจากเกม ต้องยกให้ Silent Hill เป็นหนึ่งในหนังที่ดัดแปลงจากเกมได้ดีที่สุด
ข้อด้อยของหนัง : 2 ชั่วโมง 5 นาที นับเป็นความยาวของหนังที่มากเกินไป หลายๆ ฉากก็ดูไม่จำเป็นที่จะใส่เข้ามา เนื้อหาดูวิ่งวนไปมาไร้จุดหมาย
3. Resident Evil: Apocalypse (2004)
ผู้กำกับ : อเล็กซานเดอร์ วิตต์
นักแสดง : มิลลา โจโววิช , เซียนนา กิลโลรี , โอเด็ด เฟอห์
ทุนสร้าง : 45 ล้านเหรียญ
รายได้หนัง : 129 ล้านเหรียญ
ข้อดีของหนัง : เป็นหนังภาคต่อที่ได้อานิสงส์จากภาคแรกมามาก และในภาคนี้ก็วางรากฐานให้อลิซเป็นตัวละครหลักของแฟรนไชส์อย่างแน่นหนา ซ้ำยังดึงวัตถุดิบต่างๆ จากเกมมาใช้ในหนังให้มากขึ้น เพื่อขยายจักรวาลของหนังให้กว้างออกไป
ข้อด้อยของหนัง : หนังดูสับสนขัดแย้งกับตัวเอง ในขณะที่จะแยกทิศทางเรื่องราวของตัวเองออกไปจากภาคแรกแต่ขณะเดียวกันหนังก็พยายามจะกลับเข้าสู่เนื้อหาเรื่องราวตามเกมต้นฉบับ
ฉากเด่น : ฉากปะทะท้ายเรื่องของกลุ่ม เนเมซิส กับกลุ่ม S.T.A.R.S ที่ออกมาเป็นสาดกระสุนปืนกลใส่กันที่สนุก
4. Tomb Raider(2018)
ผู้กำกับ : โรอา อูธาก
นักแสดง : อลิเซีย วิกันเดอร์ , โดนินิก เวสต์ , วอลตัน ก็อกกินส์
ทุนสร้าง : 106 ล้านเหรียญ
รายได้หนัง : 263 ล้านเหรียญ
ข้อดีของหนัง : วิกันเดอร์ สวมบทบาท ลารา ครอฟต์ ได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นลารา ที่แข็งแรง คล่องแคล่ว และมีความถึกทน ภาพลักษณ์เธอดูเชื่อได้ว่าเธอสามารถปีนหน้าผาได้ด้วยอีเต้อเพียงอันเดียวได้ บทเขียนความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครได้ดี ฉากจบทำได้ดี ดูจบแล้วอยากดูภาคต่อ ตัวละครอื่นๆ ก็ทำหน้าที่ได้ดีทั้งแมกซ์ , อนา มิลเลอร์ และ มิสเตอร์ยัฟเฟ ล้วนเป็นตัวละครที่ทรงพลังและน่าจะได้มีบทบาทต่อเนื่องถ้าหนังมีภาคต่อ
ข้อด้อยของหนัง : หนังของ ลารา ครอฟต์ แต่ต้องมาดูฉาก ลารา โดนกลุ่มผู้ชายเตะ ต่อย ในหนังของเธอเอง แล้วเหล่านักแสดงชายก็โอเวอร์แอ็คติ้งกันมากกว่าจะโดนกำจัด
5. Ratchet and Clank (2016)
ผู้กำกับ : เควิน มันโร
ให้เสียงพากย์ : พอล จิอาแมตติ , จอน์น กู๊ดแมน , เบลล่า ธอร์น
ทุนสร้าง : 20 ล้านเหรียญ
รายได้หนัง : 8.8 ล้านเหรียญ
ข้อดีของหนัง : ถ้าเทียบกับหนังที่สร้างจากวีดีโอเกมอีกหลายๆ เรื่องในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ก็ถือว่าไม่แย่นักนะ Ratchet and Clank มีทั้งอารมณ์ขัน ฉากแอ็คชั่น และถึงกลิ่นอายของเกมผจญภัยมาไว้ในหนังได้ครบถ้วน
ข้อด้อยของหนัง : หนังขาดเสน่ห์สำคัญของวีดีโอเกมไปหลายส่วนเช่น บรรดาอาวุธประหลาด เหล่าอุปกรณ์ไฮเทคที่เป็นจุดขายหลักของเกม ฉากต่อสู้ค่อนข้างขาดชีวิตชีวา
6. Prince of Persia: The Sands of Time (2010)
ผู้กำกับ : ไมค์ นีเวลล์
นักแสดง : เจค กิลเล็นฮาล , เจมมา อาร์เตอร์ตัน , เบ็น คิงส์ลีย์
ทุนสร้าง : 200 ล้านเหรียญ
รายได้หนัง : 336 ล้านเหรียญ
ข้อดีของหนัง : ดีที่หนังได้ทุนสร้างมหาศาลก็เลยสามารถเสกสรรค์โลกเปอร์เซียในอดีตกาลออกมาอย่างน่าตื่นตา และพาผู้ชมไปอยู่ในยุคนั้นได้อย่างสมบูรณ์ , เจค กิลเล็นฮาล และ เจมมา อาร์เตอร์ตัน ในฐานะดารานำมีเคมีที่เข้ากันได้อย่างดี เสน่ห์ของทั้งคู่สามารถจับคนดูให้เกาะอยู่กับพวกเขาได้จนจบ
ข้อด้อยของหนัง : โชคร้ายที่หนังโดนโจมตีตั้งแต่ก่อนที่จะปล่อยตัวอย่างแรกออกมาเสียอีก ว่าเป็นหนังที่เอาใจคนผิวขาวเพราะนักแสดงในเรื่องล้วนเป็นคนผิวขาวล้วนๆ ข้อกล่าวหาแพร่กระจายไปในวงกว้างและส่งผลกระทบต่อรายได้ของหนังในท้ายที่สุด ทำให้ตัวเลขกำไรของหนังไม่ค่อยน่าพอใจนัก
7. The Angry Birds Movie (2016)
ผู้กำกับ : เคลย์ เคย์ติส , เฟอร์กัล รีลลี
ให้เสียงพากย์ : เจสัน ซูเดคิส , จอช แกด , แดนนี่ แม็คไบรด์
ทุนสร้าง : 73 ล้านเหรียญ
รายได้หนัง : 349.8 ล้านเหรียญ
อ้างอิงจากเกมบนมือถือที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามจากค่าย โรวิโอ เอนเตอร์เทนเมนต์ ด้วยความสำเร็จของเกมแน่นอนที่ผู้ชมก็ได้ดูเจ้าเหล่านกขี้โมโหเหล่านี้มาโลดแล่นบนจอตามหลังความสำเร็จของเกมในระยะเวลาไม่นาน และยังได้เหล่านักแสดงตลกแถวหน้ามาให้เสียงพากย์กันมากหน้าทั้ง เจสัน ซูเดคิส , จอช แกด และ แดนนี่ แม็คไบรด์ และหนังก็ประสบผลสำเร็จ ขึ้นแท่นหนังที่สร้างจากเกมทำรายได้ในอเมริกาสูงสุดเป็นอันดับที่ 2 เป็นรองแค่ Lara Croft: Tomb Raider(2001)
ข้อดีของหนัง : หนังดึงจุดเด่นๆ ของเกมมาไว้บนจอได้ครบถ้วน หลัก ๆ คือการยิงนกทำลายสิ่งก่อสร้างของหมู , บรรดาดาราที่มาให้เสียงพากย์ก็ทำหน้าที่ได้ดี คนดูได้ขำกันมากๆ ถึงแม้หนังจะเจาะกลุ่มเด็กๆ เป็นหลักแต่ผู้ใหญ่ก็พลอยขำไปด้วยได้ ที่ทำให้จดจำได้มากก็คือปีเตอร์ ดิงค์เลก ที่มาพากย์เสียงเจ้า นกอินทรีย์ผู้พิทักษ์ และ บิล เฮเดอร์ ที่มาพากย์เสียงเจ้าหมูเขียวตัวร้ายของเรื่อง
ข้อด้อยของหนัง : มันคือหนังที่เอาใจผู้ชมรุ่นเล็กนะ แน่นอนว่าต้องเต็มไปด้วยมุกตลกตื้นๆ แล้วหนังก็เต็มไปด้วยฉากเด่นๆ จากเกม ได้ดูนกฉากยิงนกแดงด้วยหนังสติ๊ก ได้ดูหอคอยพังทลาย เจ้าหมูบ้าจอมทำลาย แต่นั่นก็โอเคกว่าการที่ต้องมาดูเจ้านกแดงขี้โมโหต้องไปเข้ารับการบำบัดโทสะซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายๆ รอบ
8. Mortal Kombat (1995)
ผู้กำกับ : พอล ดับเบิ้ลยู.เอส. แอนเดอร์สัน
นักแสดง : คริสโตเฟอร์ แลมเบิร์ต , โรบิน ชู , ลินเด็น แอชบี้
ทุนสร้าง : 18 ล้านเหรียญ
รายได้หนัง : 122.1 ล้านเหรียญ
ข้อดีของหนัง : เป็นหนังที่รวมดาราแอ็คชั่นไว้มากพอดู บทหนังทำได้ดีในการแบ่งสัดส่วนของฉากต่อสู้กับการกระจายความสำคัญของหลายๆ ตัวละคร และสามารถดึงให้คนดูเกาะอยู่กับหนังได้จนจบ และบทหนังยังคงบรรยากาศของเกมต้นฉบับไว้ได้กับการดึงเรื่องราวของพลังเหนือธรรมชาติจากเกมมาไว้ในหนังด้วย ฉากน่าประทับใจคือฉากที่ สคอร์เปียนถอดหน้ากากออกแล้วกลายเป็นหัวกระโหลกหายใจเป็นไฟ
ข้อด้อยของหนัง : หนังทุนสร้างต่ำ งบในการทำสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ก็น้อยลงไปด้วย บวกกับวิทยาการภาพซีจีในยุคนั้นก็ยังไม่พัฒนามากนัก โดยเฉพาะการสร้างตัว "โกโร" อสุรกาย 4 แขน ที่ออกมาดูหยาบมาก
ฉากเด็ด : จอนนี่ เคจ กำราบ โกโร จอนนี่ คงสว่านเตะ โกโร จนร่วงไปเกาะหน้าผา แล้วจอนนี่ก็บอกว่า "และนี่ล่ะ ถึงคราวลงของแกแล้ว" เป็นฉากที่ดูโหดแต่ก็ดูตลกไปพร้อมๆ กัน
9. Warcraft (2016)
ผู้กำกับ : ดันแคน โจนส์
นักแสดง : เบ็น ฟอสเตอร์ , โดมินิก คูเปอร์ , โทบี้ เคบเบลล์
ทุนสร้าง : 160 ล้านเหรียญ
รายได้หนัง : 433 ล้านเหรียญ
ข้อดีของหนัง : เหล่าดารานำระดับยอดฝีมือ งานวิชวลซีจีที่เนียนกริบขนาดโคลสอัปได้ใกล้ๆ และบทภาพยนตร์ที่ให้ความเคารพเกมต้นฉบับ
ข้อด้อยของหนัง : หนังใช้เวลานานเกินไปกว่าจะดัดแปลงมาเป็นภาพยนตร์ ถ้าออกมาช่วงที่เกมกำลังบูม ๆ จะได้รับความสนใจมากกว่านี้
10. Assassin's Creed (2016)
ผู้กำกับ : จัสติน เคอร์เซล
นักแสดง : ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ , มาริยง โกติยาร์ด , เจเรมี่ ไอออน
ทุนสร้าง : 125 ล้านเหรียญ
รายได้หนัง : 203 ล้านเหรียญ
ตัวเลขรายรับหนัง หักทุนสร้างแล้วดูเหมือนจะได้กำไรนะ แต่ถ้าบวกกับค่าการตลาด ประชาสัมพันธ์แล้ว Assassin's Creed ยังเป็นโปรเจ็คต์ที่ติดลบ ที่แม้แต่ชื่อของไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ ก็ช่วยชีวิตหนังไว้ไม่ได้
ข้อดีของหนัง : ตัวอย่างหนังที่เน้นขายฉากสตันท์ กระโดดข้ามตึกไปมา ดูน่าตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะฉาก Leap Of Faith ที่ทิ้งตัวลงมาจากยอดหอคอย ที่เป็นท่าหลักจากเกมก็ยังคงนำมาเป็นจุดขายได้ดี
ข้อด้อยของหนัง : บทภาพยนตร์ที่จืดชืดไม่ได้ใช้ประโยชน์จากตัวไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ได้มากนัก และแม้กระทั่งสาวกของเกม Assassin's Creed มาดูก็ยังคงสับสนกับเนื้อเรื่อง