10 ผลงานกำกับที่ดีที่สุดของสตีเวน สปิลเบิร์ก

Movie News4 เมษายน 2561

           สตีเวน สปิลเบิร์ก ผู้กำกับดีกรี 3 ออสการ์ ผู้มีผลงานขึ้นหิ้งมาตั้งแต่ยุค 70s แล้วก็ยังขยันมีผลงานกำกับออกมาเรื่อย ถึงตอนนี้ก็ 33 เรื่องแล้ว งานของเขามีตั้งแต่หนังเอาใจตลาด หนังเอาใจผู้ชมรุ่นเล็ก หนังไซไฟ หนังย้อนยุคหวังรางวัล และหนังดูยาก ๆ เอาใจนักวิจารณ์ เรียกว่าทำได้ทุกแนว จนได้ฉายาว่า "พ่อมดฮอลลีวู้ด" ปีที่แล้ว สตีเวน ทำ The Post ผลงานกำกับตัวพ่อตัวแม่ในวงการ เมอรีล สตรีพ และ ทอม แฮงค์ ที่ไปเข้าชิงออสการ์มาหลายรางวัลแต่ก็พลาดไป มาต้นปีนี้ สตีเวน เปลี่ยนแนวสุดขั้วมาทำ Ready Player One หนังเอาใจตลาดสุด ๆ เรื่องราวของโลกเกมออนไลน์ ที่เน้นขายซีจีสุดตระการตาและยังวนไปเอาใจผู้ชมรุ่นใหญ่ด้วยการใช้เพลงประกอบยุค 80s และอ้างอิงถึงหนัง และตัวละครดังๆ จากยุค 80s มากมาย



          และในวัย 71 ปี สตีเวน ยังเป็นผู้กำกับที่มีไฟและจินตนาการยังไม่จบสิ้น เชื่อว่าเขาสามารถสร้างสรรค์ผลงานดีๆ ออกมาให้ผู้ชมได้รับความบันเทิงได้อีกนาน ถึงตอนนี้ผู้เขียนหยิบผลงานที่ดีที่สุด 10 เรื่อง ของสตีเวน สปิลเบิร์ก กลับมาแนะนำเผื่อบางเรื่องเรา ๆ ท่าน ๆ จะลืมกันไปแล้ว และไปหามาย้อนดูกันอีกสักรอบครับ

 

1. Schindler's List (1993)



เรต : R
ความยาว : 3 ชั่วโมง 15 นาที
นักแสดง : เลียม นีสัน , ราล์ฟ ไฟนส์
ความยอดเยี่ยมของหนัง : ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตสตีเวน สปิลเบิร์ก Schindler's List ได้เข้าชิงออสการ์ถึง 12 สาขา และกวาดไปได้ถึง 7 สาขา รวมถึงสาขาใหญ่ๆ อย่าง "ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม" "ผู้กำกับยอดเยี่ยม" และแจ้งเกิด ราล์ฟ ไฟนส์ ดาราหน้าใหม่ในวันนั้น ให้เป็นที่รู้จัก เป็นหนังที่สมควรที่สุดกับคำว่ายอดเยี่ยม หนังที่ให้ทั้งสาระและดูสนุก น่าติดตามแม้กระทั่งหนังจะยาวถึง 3 ชั่วโมง 15 นาที และสตีเวน กล้าที่จะถ่ายทอดออกมาเป็นหนังขาว-ดำ ด้วย และเป็นหนึ่งในหนังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ดีที่สุด หนังแสดงให้เห็นถึงด้านความโหดร้ายของสงครามอย่างที่สุด และขณะเดียวกันก็ถ่ายทอดให้เห็นด้านสวยงามของมนุษย์ที่เลือกที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อเพื่อนมนุษย์แม้จะต่างเชื้อชาติ เป็นหนังที่จบได้ด้วยความซาบซึ้งอิ่มเอม

 

2. Jurassic Park (1993)



เรต : PG-13
ความยาว : 2 ชั่วโมง 7 นาที
นักแสดง : แซม นีล , ลอรา เดิร์น , เจฟฟ์ โกลด์บลูม
ความยอดเยี่ยมของหนัง : ดูความเก่งกาจของสตีเวน สปิลเบิร์ก ครับ ปีเดียวกัน ทำหนังปล่อยออกมา 2 เรื่อง 2 แนว Schindler's List มาในแนวสุขุมเคร่งเครียดสายรางวัล แล้วก็ปล่อย Jurassic Park หนังเอาใจตลาดสุดๆ เป็นหนังที่สร้างปรากฏการณ์มากในวันนั้น เป็นก้าวกระโดดของวิทยาการซีจีที่น่าตื่นตา กับการสร้างภาพไดโนเสาร์ให้กลับมามีชีวิตโลดแล่นบนจอได้เสมือนจริงสุดๆ สมควรกับที่หนังคว้าออสการ์ไป 3 ตัว และหนึ่งในนั้นคือรางวัล"สเปเชียลเอฟเฟกต์ยอดเยี่ยม" ฉากทีเร็กซ์วิ่งไล่กวดรถก็กลายเป็นฉากคลาสสิกที่น่าจดจำฉากหนึ่งของหนังฮอลลีวู้ด แม้กระทั่งในผลงานล่าสุดของเขาเอง Ready Player One ก็ยังใส่ฉากนี้เข้าไป เสมือนกับสตีเวน สปิลเบิร์ก ก็ยังต้องสร้างหนังที่มีฉากอ้างอิงถึงความสำเร็จในอดีตของตัวเอง

 

3. Jaws (1975)



ความยาว : 2 ชั่วโมง 4 นาที
นักแสดง : ร็อบ ไชเดอร์ , โรเบิร์ต ชอว์ , ริชาร์ด ไดรย์ฟัส
ความยอดเยี่ยมของหนัง : นี่คือหนังแจ้งเกิดของสตีเวน สปิลเบิร์ก เป็นหนังเรื่องแรกที่ทำให้โลกรู้จักชื่อของเขา ความกล้าที่จะสร้างหนังสยองขวัญที่ว่าด้วยฉลามยักษ์กินคน ที่ต้องใช้ทั้งหุ่นฉลามและสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ที่ไม่เจริญก้าวหน้าในวันนั้น สตีเวน ถึงกับยกให้ Jaws เป็นหนึ่งในหนังที่ยากที่สุดในชีวิตการกำกับของเขา หนังประสบความสำเร็จทางด้านรายได้ และโด่งดังมากในบ้านเราถึงขนาดที่ว่าทะเลในช่วงที่ Jaws ไม่มีใครกล้าลงเล่น ทางด้านรางวัลหนังเข้าชิงออสการ์ถึง 4 สาขา รวมถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย แต่ก็กวาดรางวัลเล็กมาได้ถึง 3 ตัว ความสำเร็จของ Jaws ทำให้ทางค่ายสร้างภาคต่อมาถึงภาค 4 แต่สตีเวน ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยแต่อย่างใด

 

4. Raiders of the Lost Ark (1981)



เรต : PG
ความยาว : 1 ชั่วโมง 55 นาที
นักแสดง : แฮร์ริสัน ฟอร์ด , แคเร็น อัลเล็น , พอล ฟรีแมน
ความยอดเยี่ยมของหนัง : อีกหนึ่งหนังเอาใจตลาดสุด ๆ เป็นการร่วมมือกันของ 2 ผู้ยิ่งใหญ่แห่งฮอลลีวู้ด จอร์จ ลูคัส ที่เป็นเจ้าของเรื่องแล้วก็มอบหมายหน้าที่ให้เพื่อนรักร่วมวงการสตีเวน สปิลเบิร์ก รับหน้าที่กำกับไป ตั้งแต่วันนั้นโลกภาพยนตร์ก็ได้แจ้งเกิดฮีโร่คนใหม่ในนาม อินเดียนา โจนส์ ศาสตราจารย์ทางด้านโบราณคดีผู้เชี่ยวชาญในการไขปริศนาขุมทรัพย์โบราณ และมีเอกลักษณ์คือหมวกปีกกว้างและแส้เป็นอาวุธคู่กาย อินเดียนา โจนส์ กลายเป็นแฟรนไชส์ที่อยู่กับฮอลลีวู้ดมายาวนานกว่า 30 ปี หนังลากยาวถึง 4 ภาค และยังขยายไปเป็นซีรีส์และวีดีโอเกม ส่วนภาคแรกนี้ก็ประกาศศักดาด้วยการกวาด 4 ออสการ์ สเปเชียลเอฟเฟ็กต์ยอดเยี่ยม , ตัดต่อยอดเยี่ยม , บันทึกเสียงยอดเยี่ยม , กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม

 

5. E.T. the Extra-Terrestrial (1982)



เรต : PG
ความยาว : 1 ชั่วโมง 55 นาที
นักแสดง : เฮนรี่ โธมัส , ดรูว์ แบ์รี่มอร์ , ปีเตอร์ โคโยต
ความยอดเยี่ยมของหนัง : Jaws คือหนังแจ้งเกิดของสตีเวน สปิลเบิร์ก แต่ E.T. คือหนังที่ส่งให้สตีเวน สปิลเบิร์ก ขึ้นแท่นผู้กำกับแถวหน้าของฮอลลีวู้ดในวันนั้น E.T.กลายเป็นหนังคลาสสิก หนังมีทั้งความน่ารักของตัวอีทีและความซื่อบริสุทธิ์ของเด็ก ๆ ที่พยายามปกป้องเพื่อนจากต่างดาวของพวกเขา ตัวอีทีคอยาวและมือยาว ที่แรกเห็นไม่ได้ดูน่าพิศมัยเลย แต่สตีเวน ก็สามารถทำให้ตัวอีทีถ่ายทอดความไร้เดียงสาและชนะใจคนทั่วโลกได้ กลายเป็นอีกตัวละครที่ทั่วโลกรักและจดจำไปตลอดกาล ถึงขนาดว่าสตีเวน สปิลเบิร์ก ก็ยังเอาตัวอีที เป็นโลโก้ของบริษัท แอมบลิน เอนเตอร์เทนเมนต์ ของเขาเอง หนังเข้าชิงออสการ์ถึง 9 รางวัล รวมถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และ ผู้กำกับยอดเยี่ยม แม้จะพลาดรางวัลใหญ่ไป แต่ก็คว้ากลับบ้านได้ถึง 4 ตัว

 

6. Close Encounters of the Third Kind (1977)



ความยาว : 2 ชั่วโมง 18 นาที
นักแสดง : ริชาร์ด ไดรย์ฟัส , เทอร์รี่ การ์
ความยอดเยี่ยมของหนัง : เป็นหนังไซไฟเรื่องแรกๆ ของสปิลเบิร์กที่ขึ้นแท่นหนังคลาสสิก ดีกรี 1 ออสการ์ ถ่ายภาพยอดเยี่ยม เรื่องราวของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่รวบรวมเบาะแสหลักฐานการปรากฏตัวของยานบินต่างดาว สมมติฐานต่าง ๆ ที่คาดว่าน่าจะเป็นการสื่อสารของชีวิตต่างพิภพ นำมารวบรวมเพื่อเป็นแนวทางในการตามหามนุษย์ต่างดาว ฉากปรากฏตัวของยานต่างดาวท้ายเรื่อง เป็นงานภาพที่จัดได้ว่าตื่นตาสมจริงที่สุดแล้วในยุคนั้น เป็นอีกหนึ่งฉากคลาสสิกของโลกภาพยนตร์ หนังประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ทำรายได้ทั่วโลกไปถึง 303 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างเพียง 20 ล้านเหรียญเท่านั้น

 

7. Saving Private Ryan (1998)



เรต : R
ความยาว : 2 ชั่วโมง 49 นาที
นักแสดง : ทอม แฮงค์ส , แมตต์ เดมอน , ทอม ไซส์มอร์
ความยอดเยี่ยมของหนัง : นอกจากหนังไซไฟแล้ว หนังเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นสปิลเบิร์กก็สร้างออกมาอยู่เนืองๆ และรอบนี้เขาเลือกหยิบยุทธการยกพลขึ้นบกที่ชายหาดนอร์มังดี มาเล่าได้สมจริง ฉากรบเปิดเรื่องกลายเป็นฉากรบที่ดุเดือด โหด สมจริงที่สุดที่โลกเคยพบเห็นมากับภาพหนังสงครามบนจอ แม้ว่าสปิลเบิร์กเลือกจะลดความฉูดฉากจนเกือบจะเป็นขาว-ดำอยู่แล้วก็ตาม และ Saving Private Ryan ก็กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่สูงมากของหนังสงคราม ทำให้ผู้กำกับรุ่นใหม่ที่คิดจะสร้างหนังสงครามก็ต้องทำให้ได้เทียบเท่าหรือใกล้เคียง นอกเหนือจากฉากยกพลขึ้นบกแล้วหนังยังแจ้งเกิดดาราหน้าใหม่อีกมาก และยังมีโมเมนต์ที่ซาบซึ้งอีกมากมายในเรื่อง หนังประกาศศักดาบนเวทีออสการ์ด้วยการเข้าชิงถึง 11 รางวัล และคว้าไปได้ถึง 5 รางวัล รวมถึงตัวสตีเวน สปิลเบิร์กเองที่คว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมมาได้อีกครั้ง

 

8. The Color Purple (1985)



ความยาว : 2 ชั่วโมง 34 นาที
นักแสดง : แดนนี่ โกลเวอร์ , โอปราห์ วินฟรีย์ , วูปี้ โกลด์เบิร์ก
ความยอดเยี่ยมของหนัง : ในยุค 80s สตีเวน สปิลเบิร์ก ขยันทำผลงานออกมาทุกปี บางปีก็มีหนังออกมาถึง 2 เรื่องและหลากหลายแนวมากทั้งหนังไซไฟ หนังสงคราม หนังผจญภัย และมาถึง The Color Purple ที่เขาลองมาจับแนวดราม่าเข้มข้นดูบ้าง หนังสร้างจากนิยายของ อลิซ วอล์คเกอร์ เล่าเรื่องราวในยุคต้น 1900 ผ่านชีวิตบัดซบของ ซีลี่ วอล์คเกอร์ ตั้งแต่วัย 14 โดนพ่อตัวเองข่มขืนจนตั้งท้องและตามติดชีวิตเธอไปอีก 30 ปี และหนังยังกล้าเปลี่ยนคาแรกเตอร์ของวูปี้ โกลด์เบิร์กดาราตลกมารับบทนำในหนังดราม่าแบบนี้ The Color Purple เข้าชิงออสการ์ถึง 11 รางวัล และเป็นครั้งแรกที่ สตีเวน สปิลเบิร์ก ต้องอกหักครั้งใหญ่ เพราะหนังไม่ได้อะไรกลับบ้านแม้แต่รางวัลเดียว

 

9. Lincoln (2012)



เรต : PG -13
ความยาว : 2 ชั่วโมง 30 นาที
นักแสดง : แดเนี่ยล เดย์ ลูอิส , แซลลี่ ฟิลด์ , เดวิด สตราธาน
ความยอดเยี่ยมของหนัง : หนังที่ไม่เอาใจตลาดเลยแม้เพียงนิด นับเป็นหนังที่ดูยากที่สุดของสตีเวน สปิลเบิร์ก แล้ว ทุกคนยืนยันว่าหนังเรื่องนี้หลับสบายมาก หนังเล่าเรื่องราวของประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น ในปี 1865 ช่วงที่สหรัฐต้องเผชิญวิกฤตสงครามกลางเมือง และการยุติสงครามกลางเมืองด้วยมันสมองของลินคอล์น หนังได้สุดยอดดาราอย่าง แดเนียล เดย์ ลูอิส มาแปลงโฉมเป็นอับราฮัม ลินคอล์น และเป็นออสการ์ตัวที่ 3 ในชีวิตของเขา กลายเป็นนักแสดงชายที่ได้รางวัลออสการ์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ 3 ตัวในสาขานักแสดงนำล้วนๆ จากการเข้าชิงเพียง 6 ครั้ง

 

10. Indiana Jones and the Last Crusade (1989)



เรต : PG -13
ความยาว : 2 ชั่วโมง 7 นาที
นักแสดง : แฮร์ริสัน ฟอร์ด , ฌอน คอนเนอรี่ , อลิสัน ดูดี้
ความยอดเยี่ยมของหนัง : การผจญภัยครั้งที่ 3 ของ อินเดียน่า โจนส์ และเป็นภาคที่เปิดตัว ดร.เฮนรี่ โจนส์ พ่อของเขาที่ได้ ฌอน คอนเนอรี่ อดีตเจมส์ บอนด์ มารับบท ภาคนี้อินเดียน่า โจนส์ ต้องตามหาพ่อของเขาที่หายสาบสูญไประหว่างตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน และยังมีพวกนาซีที่ต้องการครอบครองจอกศักดิ์สิทธิ์ เลยเป็นการรวมพลังมันสมองสองพ่อลูกที่ต้องชิงจอกศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ก่อนตกอยู่ในมือของเหล่านาซี ด้วยศักดิ์ศรีของอินเดียน่า โจนส์ ไม่เคยทำให้สาวกต้องผิดหวัง หนังใช้ทุนสร้างเพียง 48 ล้านแต่กวาดรายได้ทั่วโลกไปถึง 474 ล้านเหรียญ แถมยังพ่วงออสการ์มาอีก 1 ตัวด้วย จากสาขา สเปเชียลเอฟเฟ็กต์ยอดเยี่ยม หลังจากภาคนี้ อินเดียน่า โจนส์ ก็เว้นช่วงไปถึง 19 ปีก่อนจะกลับมาในภาค 4 Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull (2008)